วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

จะทำอย่างไร หากตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ

หลังแต่งงานได้ไม่นาน หลายคู่รักอาจกำลังฝันถึงแผนการเดินทางท่องเที่ยวไกล ๆ แผนการซื้อบ้าน ปรับปรุงเคหะสถาน หรือเก็บเงินซื้อรถคันใหม่ แต่กลับพบว่า เดือนล่าสุดนี้ คุณกำลังจะกลายเป็นคุณแม่คนใหม่ นั่นคือการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจเกิดจากการคุมกำเนิดที่ผิดพลาด ซึ่งบางครอบครัวเข้าสู่ภาวะเครียดโดยไม่รู้ตัว หรือทำตัวไม่ถูกกับการจะมีสมาชิกใหม่ในบ้าน เรามีคำแนะนำมาฝากกันค่ะ

ตั้งสติ

          อาจจะไม่ง่ายนัก ในการทำใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้ สิ่งที่ดีที่สุดคืออย่าตกใจหรือวิตกเกินไป อาจหยุดพักงานสักวัน เพื่อทบทวนถึงความพร้อมในด้านต่าง ๆ แม้บางครั้งอาจพบว่าไม่ได้มีความพร้อมมากนัก ทั้งเรื่องรายได้ เวลา หรือลักษณะงาน แต่ควรมองในแง่ดีเข้าไว้ การมีสมาชิกใหม่ในบ้าน อาจจะเป็นความสิ่งที่ครอบครัวปรารถนาอยู่แล้วก็ได้ แค่ร่นเวลาเข้ามาเร็วอีกนิด และพูดคุยกับคู่สมรส เพื่อปรับแผนชีวิต ทยอยคิดกันไปทีละข้อ เชื่อว่าทุกอย่างจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไป

ปรึกษาผู้ใหญ่และคนใกล้ชิด

          อย่าเก็บความเครียดไว้กับตัวเอง หากรู้สึกกลัวที่จะเปิดเผยกับเพื่อนร่วมงาน ญาติ หรือคนในครอบครัว ในกรณีที่คุณไม่เคยบอกพวกเขามาก่อนว่ามีแผนจะตั้งครรภ์ พึงคิดเสมอว่า ทุกอย่างล้วนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และคนที่สำคัญที่สุดคือตัวคุณเอง หากการตั้งครรภ์ คือข่าวดีของคุณ ค่อย ๆ หาเวลาบอกกับผู้อื่น และเชื่อว่าทุกคนจะพลอยดีใจไปด้วยหากคุณเองมีความสุข อย่าลืมขอคำแนะนำจากผู้ใหญ่ซึ่งมีประสบการณ์มาก่อน จะได้รับคำแนะนำดี ๆ เยอะเลย

ตรวจร่างกายทันที

          นี่คือสิ่งแรกที่พึงทำหลังจากตั้งท้อง ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อการตัดสินใจว่า คุณพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์หรือไม่ โดยเฉพาะความพร้อมของร่างกาย ซึ่งกระบวนการตรวจนั้นจะมีทั้งการตรวจเลือด ตรวจหาโรคประจำตัว และอื่น ๆ เพื่อแพทย์จะได้ให้คำแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับการดูแลครรภ์มารดา

ฝากท้องภายใน 2-3 เดือน

          การฝากท้องไม่เพียงแต่จะทำให้รู้ถึงเปลี่ยนแปลงของครรภ์แล้ว ยังรู้ถึงคำแนะนำในการดูแลครรภ์ การดูแลคุณแม่ระหว่างตั้งท้องจนถึงคลอด การแก้ไขภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ และได้รับการตรวจครรภ์เป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ ในกรณีที่บุตรมีความผิดปกติก็จะช่วยให้แก้ไขปัญหาได้ทัน

จัดตารางเวลารอรับลูกตัวน้อย

          จดบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้น และลองคิดไปถึงอีก 9 เดือนข้างหน้า เพื่อนับถอยเวลาว่าแต่ละเดือนแต่ละช่วง คุณจะต้องเตรียมอะไรบ้าง เมื่อให้เวลาสักระยะหนึ่งสำหรับการเตรียมพร้อม เชื่อว่ากว่าจะถึงวันนั้น คุณจะมีความพร้อมและความสุขสำหรับการคลอดสมาชิกตัวน้อยออกมา โดยไม่ต้องมีอะไรฉุกละหุกมาก

รู้จักทำความเข้าใจกับ การผ่าตัดคลอด

ตอนที่แล้วเราได้แนะนำให้คุณแม่ได้รู้จักการคลอดแบบธรรมชาติกันไป แต่พอถึงเวลาคลอดจริงคุณแม่หลายท่านกลับไม่สามารถคลอดทารกเองได้ และอาจรู้สึกกลัวการผ่าตัด ถ้าคุณแม่ได้รู้ถึงขั้นตอน และวิธีการปฏิบัติตัวในห้องผ่าตัดไว้ล่วงหน้า ความกังวลจะลดลงไปมากเชียวค่ะ
ก่อนเข้าห้องคลอด

           ขั้นตอนของการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง ที่ทางการแพทย์เรียกว่า Cesarean Section นั้น จะเริ่มจากการโกนขนบริเวณอวัยวะเพศ ให้น้ำเกลือที่แขน และใส่สายสวนปัสสาวะก่อน แล้วคุณพยาบาลจึงจะพาคุณแม่เข้าห้องผ่าตัด

           ขณะเดียวกันวิสัญญีแพทย์ก็จะเตรียมยาระงับความรู้สึกไว้ให้ ซึ่งโดยทั่วไปมี 2 แบบ คือ การใส่ท่อช่วยหายใจแล้วให้คุณแม่ดมยาสลบ กับการฉีดยาเข้าโพรงน้ำไขสันหลัง หรือบริเวณเหนือโพรงน้ำไขสันหลังซึ่งวิธี นี้คุณแม่จะรู้สึกตัวขณะที่ทำการผ่าตัดคลอด

ได้เวลาลงมีด...!!!

           หลังได้รับยาระงับความรู้สึก สูติแพทย์จะเริ่มทำการผ่าตัดคลอดโดยใช้เวลาประมาณครึ่ง -1 ชั่วโมง โดยการผ่าตัดจะมี 2 ชนิด คือ ผ่าตามยาวจากใต้สะดือถึงบริเวณใต้หัวหน่าว และการผ่าตามขวางหรือแผลบิกินี่ ที่จะผ่าเป็นแนวขวางเหนือแนวขนที่อวัยวะเพศเล็กน้อย ซึ่งการผ่าแบบนี้เป็นที่นิยมมากกว่า

           ส่วนไหมที่เย็บแผลคุณหมออาจใช้ไหมชนิดที่ไม่ละลาย ซึ่งต้องตัดไหมออกหลังจากการผ่าตัดคลอดประมาณ 5-7 วัน หรือใช้ไหมชนิดที่ละลายได้เอง

           หลังการผ่าตัดและเย็บแผลเรียบร้อยแล้ว คุณหมอจะสังเกตอาการของคุณแม่ต่อในห้องพักฟื้น ประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ แล้วจึงย้ายคุณแม่ไปยังห้องพักหลังคลอด

นาทีแรกของลูก

           ขณะที่อยู่ในครรภ์นั้น สภาพแวดล้อมรอบตัวของทารกสงบ อบอุ่น ปลอดภัย และปราศจากสิ่งรบกวนใด ๆ การคลอดออกสู่โลกภายนอก เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมรอบตัวเขาอย่างฉับพลัน ดังนั้น สิ่งแวดล้อมในห้องคลอด จึงต้องใกล้เคียงสภาพภายในมดลูกให้มากที่สุด คือ มีแสงสว่างพอควร ไม่จัดจ้าเกินไป มีความสงบเงียบ และเมื่อทารกคลอดออกมาแล้ว แพทย์จะนำตัวเขาไปอาบน้ำที่มีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิในมดลูก เพื่อให้ร่างกายเขาได้ ค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับโลกใบใหม่ได้ต่อไป เรียกว่าจะได้ไม่ช็อกมาก กับการที่จู่ ๆ โลกของเขาก็เปลี่ยนสภาพไปยังไงล่ะคะ

ร่องรอยหลังคลอด

           คุณแม่หลายท่านกังวลว่า การผ่าตัดคลอดจะทิ้งร่องรอยไม่พึงประสงค์อย่างแผล เป็นไว้ ต้องทำความเข้าใจก่อนค่ะ ว่าจะเกิดแผลเป็นหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ลักษณะของแผลผ่าตัด แรงตึงของแผล และผิวหนังของคุณแม่เอง รวมทั้งการดูแลแผล ดังนั้น ระวังเรื่องความสะอาดปลอดภัย เพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นอันตรายกันไว้ก่อน จะดีที่สุดค่ะ

           ยุคนี้ไม่ว่าจะคลอดด้วยวิธีไหน จะคลอดแบบธรรมชาติ หรือผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง หากอยู่ในความดูแลของแพทย์แล้ว สบายใจได้ว่า ความปลอดภัยของทั้งคุณและลูกมีสูงมากค่ะ

ตั้งชื่อเล่นลูก ให้ถูกโฉลก

ตำรามหาทักษาคืออะไร?

           ตำรามหาทักษานี้ เดิมทีเป็นของพราหมณ์ คือพระฤาษีในศาสนาพราหมณ์ผู้ได้ฌาณสมาบัติ(ชั้นสูง) ท่านตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นไว้ตามหลักวิชาของท่าน อันสามัญชนคนธรรมดาคาดคิดไม่ถึง เป็นอจินไตย คือ คิดไม่ถึงว่าท่านเอาอะไรมาวางหลักเกณฑ์อันนี้ขึ้นไว้

           คำว่า มหาทักษานี้ แปลว่าอะไร ตามรูปศัพท์ก็น่าจะแปลว่า "ขวา" เพราะนับวนขวา แต่ที่จริงมีความหมายกว้างกว่านั้น อาจแปลว่า ชำนาญก็ได้ อาจแปลว่า สาระหรือแก่นของโลกก็ได้ คำว่า ทักษา มาจากอักษร "ท" ผสมกับ "อักษะ" ท คำนี้แปลว่า ตั้งอยู่ ดำรงอยู่ ทรงตัวอยู่ อักษะ แปลว่า แกน แก่นสาร รวมกันก็คือ "แก่นสารของโลก" ตำรานี้ถือว่าเป็นแก่นสารของโลกทีเดียว เพราะว่ารวมเอาสรรพสิ่งมาประมวลไว้ในทักษานี้หมดแล้ว จึงเรียกว่า "มหาทักษา" เพราะว่าไม่ว่าอะไรในโลกธาตุนี้ สิ่งนั้นจะมีชื่อมีนามว่าอะไรก็ตาม ก็เอามาใส่ไว้ใน "นามธาตุ" นี้หมดสิ้นแล้ว

ตั้งชื่อเล่นลูก

แบ่งโลกพิภพเป็น 8 ภาค

           พระฤาษีผู้ได้ฌาณสมาบัติชั้นสูงนั้นมีญาณพิเศษ ล่วงสามัญชน เห็นนรก เห็นสวรรค์ มีฤทธิ์เดช ล่องหนหายตัวได้ เดินน้ำได้ ถอดจิตได้ ถอดจิตไปปรากฏในที่ห่างไกลได้ เพราะเหตุนี้พระฤาษีในศาสนาพราหมณ ์จึงมองเห็นโลกพิภพนี้ด้วยญาณพิเศษ ว่าอยู่ท่ามกลางดาว นพเคราะห์9 ดวง ดาวทั้ง9ดวง นี้มีอิทธิพลต่อโลกพิภพนี้ มีอิทธิพลต่อโลกมนุษย์สัตว์บนพื้นพิภพนี้ ตัวอย่างเช่น ดวงจันทร์ มีอิทธิพลทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง พระอาทิตย์มีอิทธิพลต่อชีวิต ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์ สรรพชีวิตจะไม่เกิดขึ้นมา ดวงอาทิตย์ทำให้เกิดฤดูกาลร้อนหนาว ดังนี้เป็นต้นพระฤาษีล่วงรู้อย่างน ี้มาก่อนพุทธกาลแล้วหลายพันปี พระฤาษีจึงแบ่งโลกพิภพนี้ออกเป็น 8 ภาค หรือแบ่งจักรวาลนี้ออกเป็น 8 ส่วน ดังนี้

ตั้งชื่อเล่นลูกใ

แบ่งอิทธิพลของดาวนพเคราะห์

           พระฤาษีผู้ได้ญาณพิเศษล่วงสามัญชนนี้ ท่านไม่ต้องใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์อะไรทั้งสิ้น แต่ท่านใช้ “ญาณพิเศษ” ของท่าน ตรวจดูดวงดาวในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ แล้วก็แลเห็นด้วยทิพยเนตรของท่าน ว่ามีดวงดาวสำคัญอยู่ ๙ ดวง คือ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ ราหู และดาวเกตุ เมื่อท่านแลเห็นดวงดาวทั้ง ๙ ดวงนี้แล้ว ท่านก็ใช้ญาณพิเศษของท่าน ตรวจดูอีกว่าดวงดาวเหล่านี้ มีอิทธิพลต่อโลกและชีวิตอย่างไร ครั้นแล้วท่านก็จัดให้ดวงดาวทั้ง9 ดวงนี้มาสถิตอยู่บนพื้นพิภพดังต่อไปนี้

ตั้งชื่อเล่นลูกใ

แบ่งสรรพสัตว์บนพื้นพิภพ

           พระฤาษีท่านทราบอย่างถ่องแท้แล้วว่า ดวงดาวทั้ง 9 ดวง นี้มีอิทธิพลต่อโลก และเมื่อโลกนี้มีสรรพสัตว์อาศัยอยู่ สรรพสัตว์ที่อาศัยโลกก็เหมือนปลาอาศัยน้ำอยู่ น้ำย่อมมีอิทธิพลเหนือปลา น้ำจะเย็นร้อนอย่างไร ย่อมมีอิทธิพลต่อชีวิตปลา สรรพสัตว์ที่อาศัยอยู่บนพิภพนี้ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโลกนี้ และโลกนี้ก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของดวงดาว เพราะฉะนั้น ดวงดาวจึงมีอิทธิพลเหนือชีวิตสรรพสัตว์อยู่ตลอดเวลา ทุกนาที ใครจะหลีกหนีอย่างไรก็ไม่พ้นเลย เพราะฉะนั้น พระฤาษีท่านจึงแบ่งให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย บนพื้นพิภพนี้อยู่ภายใต้อิทธิพลของดวงดาวนั้น ๆ การแบ่งนี้เป็นเรื่องเหลือเชื่อ เพราะสรรพสัตว์ในโลกนี้มีอยู่นับล้าน แต่พระฤาษีท่านแบ่งได้ตามหลักที่จิตวิญญาณท่านแลเห็น คือ ท่านแบ่งออกตามดวงดาวที่มีอิทธิพลต่อพิภพนี้นั่นเอง ท่านทราบดีว่า สรรพสัตว์ที่เกิดมานั้นต้องมีชื่อสมมุติเรียกแทนชื่อสัตว์นั้น ท่านจึงจับเอาชื่อมาใส่ไว้แทน แต่ชื่อนั้นก็มีนับไม่ถ้วน จะเอามาใส่ไว้อย่างไร ท่านก็เล็งญาณทราบโดยแจ่มแจ้งว่า ให้คิดอักษรเขียนชื่อสัตว์ขึ้นแทนคำพูดที่ใช้พูดกันอยู่ อักษรนั้น ใช้แทนคำพูดสารพัดของมนุษย์ ท่านจึงเอาอักษรนั้นมาใส่ไว้ในช่องอิทธิพลของดวงดาวทั้ง 8 ดวง เว้นไว้ดวงหนึ่งที่เป็นกลาง ไม่มีอิทธิพลต่อสัตว์โลกโดยตรง คือดาวพระเกตุ ท่านจึงเอาอักษรทั้งหมดมาใส่ในช่องอิทธิพลของดวงดาวนี้

ตั้งชื่อเล่นลูกใ

แบ่งนามออกเป็น 8 พวก

           เมื่อท่านแบ่งเอาอักขระและพยัญชนะทุกตัวอักษร ลงในช่องของพิภพทั้ง 8 ช่องเช่นนี้แล้ว ก็หมายความว่า ท่านสามารถจับเอาสรรพสิ่งในโลกนี้ทั้งสิ้น ตั้งแต่สัตว์ใหญ่ที่สุด เช่น ช้างและไดโนเสาร์ จนถึงริ้นไร และตัวเชื้อโรคที่มองไม่เห็นตัวเลย ได้หมดสิ้นแล้ว เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้จะต้องมีชื่อเรียก น่าประหลาดใจไหมเล่า ที่พระฤาษีสามารถจับเอาสรรพสิ่งในโลกธาตุนี้ มาใส่ไว้ในกระดานชนวนแผ่นน้อยได้หมดสิ้น

การพิจารณาการตั้งชื่อ

           การตั้งชื่อนั้นให้พิจารณาว่า อักษรใดอยู่ช่องใด ก็เท่ากับตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของดวงดาวนั้นโดยตรงเต็มที่ ท่านแบ่งดาวออกเป็น 8 ช่อง เรียกชื่อตามคุณภาพของดวงดาวที่มีอิทธิพลต่อดวงดาวอื่น ใครเกิดวันไหนก็กลายเป็นบริวารของดาวดวงนั้น เรียกว่าดาวนพเคราะห์ประจำวันเกิด มีดาวดวงนั้นเป็นดาวประจำชีพ และเมื่อเรามีดาวดวงใดเป็นดาวประจำชีพแล้ว หากดาวประจำชีพเรามีดาวอื่นที่ส่งผลกระทบให้ดาวของเรา ต้องมัวหมอง อับแสงหรือมืดมนลง เรียกว่าเป็นดาวกาลกิณีของดาวประจำชีพเรา เราจึงต้องหลีกเลี่ยงอักษรที่เป็นบริวารของดาวกาลกิณีของเรา ไม่ให้มีปรากฏอยู่ในชื่อ หรือเกี่ยวพันกับชีวิตของเรานั่นเอง

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คลิป คลอดลูกแบบธรรมชาติ เด็กปลอดภัย

เป็นคลิปที่หาจากในเน็ตนะค่ะหากคุณแม่คนไหนดูไม่ได้ก็ไม่แนะนำให้ดูนะค่ะ แต่ควรศึกษาไว้นะค่ะและเป็นอีกทางเลือกการคลอดแบบธรรมชาติหรือจะแบบผ่าตัด หากคลิปไม่เหมาะสมต้องขออภับด้วยนะค่ะ จะคลอดแบบไหนก็ปลอดภัยทั้งนั้น แต่ที่คุณหมอและที่โรงบาลแนะนำน่าจะคลอดแบบธรรมชาติค่ะ


คลิปวิดีโอคลอดลูกแบบธรรมชาติ

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

5 วิธีคงสุขภาพดีขณะตั้งครรภ์

5 วิธีคงสุขภาพดีขณะตั้งท้อง

          1. คุณแม่ต้องได้รับธาตุเหล็กจากเนื้อสัตว์ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ซึ่งไม่จำเป็นต้องทานมาก แต่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายและธาตุเหล็กที่มีในพืชนั้น เป็นประเภทที่ไม่ใช่ฮีโมโกลบินทำให้ร่างกายดูดซึมได้ยาก

          2. เพื่อช่วยเสริมสร้างสมองให้ลูกน้อย คุณแม่ต้องทานกรดไขมันโอเมก้า 3 แต่ให้หลีกเลี่ยงสัตว์น้ำมีเปลือกประเภทหอย เพราะจะก่อให้เกิดอันตรายทั้งคุณแม่และทารกน้อยติดเชื้อแบคทีเรียลิสทีเรีย

          3. หากคุณแม่ทรมานกับอาการอาเจียน ให้ทานขิงเพราะแก้อาเจียนได้ดี อาจหั่นขิงสดใส่ลงในน้ำอุ่นจัดหรือจะดื่มเบียร์ขิงก็ไม่ว่ากัน

          4. คุณแม่ต้องได้รับปริมาณฟลูออไรด์ให้เพียงพอ เพราะสำคัญต่อการสร้างฟันของลูกน้อย

          5. คุณแม่ควรทานผัก ผลไม้, ซีเรียล, ข้าวโอ้ต, เมล็ดธัญพืชและอาหารกากใยมาก ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการท้องผูก เพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปจะส่งผลต่อลำไส้ใหญ่ของคุณแม่ อาหารกากใยจึงช่วยได้มากค่ะ

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

โฆษณาแป้งเด็กทำให้น้ำตาคุณแม่มือใหม่ซึม


              เมื่อสองสามวันก่อนได้มีโฆษณาแป้งเด็กชนิดหนึ่งได้ออกอากาศเป็นเรื่องของครอบครัวๆหนึ่งซึ่งได้คลอดลูกที่โรงบาลแห่งหนึ่งในบรรยากาศในห้องคลอดคุณแม่คนนั้นได้ลูกฝาแฝดซึ่งน่ารักน่าชังนอนอยู่คู่กันซึ่งเมื่อกล้องซูมเข้าใกล้เด็กทารกแฝดทั้งสองน่าเศร้าเด็ดแฝดอีกคนเหมือนกับไม่มีลมหายใจเมื่อทั้งสองสามีภรรยาแม่เด็กเข้าไปเห็นถึงกับต้องร้องให้และได้คว้าลูกแฝนคนที่ไม่มีลมหายใจเข้ามากอดอยากน่าเวทนาทันไดนั้นเหมือนปาฎิหารเด็กทารกที่ไม่มีลมหายใจได้ร้องให้ผิวที่ดูซีดกลับมีเลือดและเริ่มมีลมหายใจคุณหมอคุณพยาบาลที่อยู่ในห้องคลอดถึงกลับแปลกใจ และมีคำพูดที่ว่า          "สัญชาตญาณความเป็นแม่ สิ่งมหัศจรรย์ จากธรรมชาติ ความผูกพันระหว่าง แม่ กับ ลูก"มันซึ้งจริงๆอยากให้พ่อแม่มือใหม่ได้ดูกันนะค่ะ  ยังไงลองดูคลิปนี้ดูค่ะ

คลิป เบบี้มายด์ สัญชาตญาณความเป็นแม่

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ตั้งครรภ์ คุณแม่ต้องระวังสัตว์เลี้ยง !

ท้องต้องระวังสัตว์เลี้ยง ! (รักลูก)
โดย: ก้านแก้ว

สัตว์เลี้ยงแสนรักในบ้าน ทั้งเจ้าตูบ เจ้าเหมียว อาจนำโรคมาให้คุณแม่ท้องได้นะคะ ดังนั้นถ้าจะเลี้ยงสัตว์ในช่วง ตั้งครรภ์ จึงต้องรู้วิธีดูแลและป้องกันตัวด้วยค่ะ

ผล งานวิจัยจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าคุณแม่ที่มีสัตว์เลี้ยงตอนตั้งครรภ์ จะทำให้ความเครียดและความวิตกกังวลในการตั้งครรภ์ของ คุณแม่ลดลง จิตใจผ่อนคลาย มองโลกในแง่ดี คลายเหงาเพราะมีสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน ส่งผลดีต่อสุขภาพ และอารมณ์ของคุณแม่ และลูกน้อยในครรภ์เป็นอย่างยิ่งเลยล่ะค่ะ การเล่นกับสัตว์เลี้ยงทั้งหลายยังเป็นการออกกำลังกาย ไปในตัวด้วย แต่ข้อเสียหรือข้อที่ควรระวังในขณะตั้งครรภ์ก็มีค่ะ เพราะสัตว์เลี้ยงทำให้เกิดโรคได้

สุนัข

อาการแพ้ขนสุนัข


สุนัข ที่นิยมเลี้ยงส่วนใหญ่มีหลายสายพันธุ์ค่ะ ทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ขนสั้น และ ขนยาว ซึ่งโรคภัยที่คุณแม่ท้องต้องระวังจากสุนัขส่วนใหญ่ มักจะเป็นพันธุ์ขนยาว เพราะคุณแม่บางคนอาจเกิดอาการภูมิแพ้ จากโปรตีนที่อยู่ในสารคัดหลั่งของสิ่งที่สุนัขปล่อยอ อกมา เช่น ขน ปัสสาวะ แต่ถ้าหากเป็นคุณแม่ที่มีโรคภูมิแพ้เพียงแค่การสัมผั สหรือสูดดม อาการแพ้ก็จะเกิดขึ้นได้ เช่น อาการหอบหืดในคนที่มีประวัติของโรคนี้มาก่อน อาการเป็นผื่นแดงตามผิวหนัง อาการคัน เป็นต้น

เห็บหมัดจากเจ้าตูบ

คุณ แม่หลายคนมักจะกลัวว่าเห็บหมัดของสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว จะเป็นตัวนำเชื้อโรคมาสู่คนได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วเห็บหมัดสามารถกัดเราจนเป็นแผลหรือผื่นได้จริงค่ ะ แต่ไม่สามารถอาศัยเกาะกินเลือดเราได้นาน เหมือนเกาะอยู่ที่สัตว์เลี้ยงตัว โปรด เพราะร่างกายของเราไม่เหมาะสมที่จะเป็นโฮสต์ หรือที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของ เห็บหมัด

แต่ ก็ไม่ใช่เรื่องดี ที่จะปล่อยให้เห็บหมัดมากัดเรานะคะ ควรระวังค่ะ เพราะมีรายงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่ารัฐทางตอนใต้ของประเทศซึ่งมีอากาศอบอุ่น มีเห็บบางชนิดที่สามารถนำโรคมาสู่คนได้เหมือนกัน เช่น โรค Rocky Mountain Spot Fever หรือ โรค Lyme Disease แต่บ้านเราไม่มีเห็บชนิดนั้นค่ะ ทำให้ยังไม่มีรายงานโรคนี้เกิดขึ้น

พฤติกรรมเฉพาะตัว

สุนัข บางพันธุ์ชอบแสดงความรักและดีใจด้วยการกระโดดใส่เจ้า ของ โดยเฉพาะสุนัขพันธุ์ใหญ่ ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้เป็นอันตรายต่อคุณแม่ เพราะในระหว่างที่ตั้งครรภ์ การทรงตัวของคุณแม่จะไม่ดี หากเจ้าตูบกระโจนเข้าใส่ เพราะอยากเล่นด้วย อาจทำให้หกล้มจนกระทบกระเทือนไปถึงลูกน้อยในท้องได้

คุณ หมาก็ขี้อิจฉาเป็นนะคะ โดยเฉพาะคุณแม่เพิ่งคลอดลูกน้อย ซึ่งหากคุณแม่เคยเลี้ยงเจ้าตูบตัวเดียวตลอด ความรักและความเอาใจใส่ก็ทุ่มเทให้ทั้งหมด ครั้นมีลูกตัวเล็กๆ ที่ต้องใส่ใจ เจ้าตูบก็จะรู้สึกว่าถูกแย่งความรัก จนสามารถทำร้ายเจ้าตัวเล็กของเราได้ค่ะ ควรสังเกตพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยง และอย่าปล่อยลูกให้อยู่ตามลำพังกับสัตว์เลี้ยงโดยเด็ ดขาดค่ะ
แมวเหมียว

โรค Toxoplasmosis (โรคขี้แมว)


เจ้า เหมียวสามารถนำโรคภัยมาสู่แม่ท้องได้มากกว่าเจ้าตูบค ่ะ โดยเฉพาะโรคนี้ที่คุณแม่ตั้งครรภ์ 3 เดือนแรกต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเชื้อนี้เกิดจากเชื้อโปรโตซัว ซึ่งจะเจริญและขยายพันธุ์ในลำไส้ของแมว โดยแมวที่เลี้ยงแบบปล่อย มักจะชอบเที่ยวนอกบ้าน ซึ่งอาจจะไปกินเนื้อดิบ ๆ หรือกินหนู และแมลงสาบที่ติดเชื้อ เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายแมว ไปอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ ตลอดจนลำไส้ของแมว และเชื้อจะปนเปื้อนออกมากับอุจจาระของแมวค่ะ

ถ้า คุณแม่ไปทำความสะอาดกระบะทราย และสัมผัสถูกอุจจาระแมว และไม่ล้างมือก่อนทานอาหาร คุณแม่ก็จะได้รับเชื้อโรคนี้ แล้วเชื้อจะส่งผ่านทางรกไปสู่ลูกน้อยในครรภ์ได้ ซึ่งผลที่มีต่อเด็กคือ เด็กบางคนอาจแท้ง บางคนเมื่อเด็กคลอดออกมาตอนแรกจะเหมือนเด็กปกติทุกอย ่าง แต่หลังจากคลอดประมาณ 6-7 เดือน เด็กที่ติดเชื้อโรคนี้จะมีอาการ ตาบอด ปัญญาอ่อน มีปัญหาด้านการเรียนรู้ และมีปัญหาด้านระบบประสาท เช่น สมองบวมน้ำ มีอาการชักและความผิดปกติของระบบประสาทได้ค่ะ

แต่ โรคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณแม่ท้องทุกคน เนื่องจากคุณแม่ส่วนใหญ่ที่แข็งแรงดี จะมีภูมิต้านทานโรคนี้อยู่ในระดับหนึ่งแล้ว หากได้รับเชื้อจะมีอาการคล้ายเป็นหวัด แล้วก็หายไป คุณแม่ท้องที่ต้องระวังคือ คุณแม่ในกลุ่มเสี่ยงที่ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อ ง (เอดส์) คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งซึ่งอยู่ในช่วงใ ห้เคมีบำบัด และผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ เพราะคุณแม่ในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีภูมิต้านทานต่อโ รคต่ำ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย โดยคุณแม่ที่ได้รับเชื้อโรคนี้จะมีไข้และต่อมน้ำเหลื องบวม บางรายจะมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ค่ะ

พยาธิตัวกลมและพยาธิปากขอ

พยาธิ ทั้ง 2 ชนิดนี้พบได้ทั้งในสุนัขและแมว โดยปนเปื้อนมากับอุจจาระของสัตว์ ซึ่งจะติดสู่คนด้วยการสัมผัส คุณแม่ท้องคงไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เท่าไร หากล้างมือทุกครั้งก่อนทานอาหาร แต่ลูกวัยเล็ก ที่ไปเล่นนอกบ้าน เล่นที่สนาม หรือจับสัตว์เลี้ยงแล้วไม่ล้างมือ ไข่ของพยาธิตัวกลมจะติดต่อสู่คน โดยการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมและสัตว์เลี้ยง ส่วนพยาธิปากขอสามารถชอนไชผ่านทางผิวหนังไปยังอวัยวะ ต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กระเพาะอาหาร ตับ ปอด จึงควรรักษาความสะอาด และล้างมือก่อนทานอาหารทุกครั้งค่ะ

สัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ

สัตว์ ปีก เช่น นกแก้ว นกขุนทอง และนกสวยงามอื่นๆอาจทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ เพราะขนนกและฝุ่นละออง อาจเกิดการฟุ้งกระจายในอากาศจากการกระพือปีกของนก

ปลา ไม่ได้นำโรคโดยตรงมาสู่คุณแม่ตั้งครรภ์ แต่น้ำในตู้ หรือบ่อปลาที่ไม่ได้เปลี่ยนน้ำ หรือทำความสะอาดมาเป็นเวลานาน จะมีเชื้อแบคทีเรียสะสมอยู่ ซึ่งเชื้อเหล่านี้สามารถนำพาโรคต่าง ๆ มาสู่คุณแม่ได้

สัตว์ แปลก ๆ (EXOTIC PET) เช่น อิกัวน่า เต่า งูตัวเล็ก มักจะนำโรคซัลโมเนลโลซิส ซึ่งเป็นโรคสัตว์สู่คนที่สำคัญโรคหนึ่ง เชื้อโรคจะเกิดจากการที่คนสัมผัสตัวสัตว์ น้ำลายและปัสสาวะของสัตว์ แล้วไม่ได้ทำความสะอาดหรือล้างมือ คุณแม่อาจคลื่นไส้ อาเจียน ลำไส้อักเสบอย่างรุนแรง มีไข้ ปวดท้อง แต่บางรายที่เป็นพาหะนำโรค โดยอาจไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ

อยู่อย่างไรให้ใกล้สัตว์ แต่ไกลโรค

ถึง สัตว์เลี้ยงตัวโปรดจะสามารถนำพาอันตรายต่าง ๆ มาให้ได้บ้าง แต่การเป็นเพื่อนยามเหงา แก้เครียด และช่วยให้ผ่อนคลายก็เป็นเรื่องดี ดังนั้นหากจะเลี้ยงสัตว์ระหว่างตั้งท้อง ควรปฏิบัติดังนี้ค่ะ

หลีกเลี่ยงไม่ให้สุนัขกระโดดใส่ เพราะจะทำให้คุณแม่ได้รับอันตรายได้

ไม่ ควรเก็บอุจาระแมวจากกระบะทรายด้วยตัวเอง หรือถ้าหาผู้ช่วยไม่ได้ ควรสวมถุงมือแบบใช้ครั้งเดียว ทิ้งทุกครั้งในการทำความสะอาดกระบะทราย และล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง แนะนำว่ากระบะทรายควรเปลี่ยนทรายทุกวันเพื่อป้องกันเ ชื้อโรคค่ะ

คุณ แม่ที่ชอบปลูกต้นไม้ ทำสวน ควรสวมถุงมือทุกครั้ง เพราะสุนัขหรือแมว อาจมาอุจจาระไว้ในสวนหรืออาจมีเชื้อโรคปนเปื้อนในดิน ทำให้คุณแม่อาจไปสัมผัสเชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว

ล้างมือหลังจับหรือเล่นกับสัตว์เลี้ยงทุกครั้งและก่อ นทานอาหาร

คุณพ่อผู้ช่วยอันดับ 1

คุณ พ่อเป็นคนสำคัญเลยล่ะค่ะ ที่จะช่วยให้คุณแม่และสัตว์เลี้ยงอยู่ด้วยกันอย่างปล อดภัย ด้วยการทำหน้าที่แทนคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์ นั่นคือ

พาสัตว์เลี้ยงไปรับการถ่ายพยาธิให้สุนัขและแมวทุก 2 สัปดาห์ โดยเริ่มถ่ายพยาธิได้ตั้งแต่เจ้าสัตว์เลี้ยงอายุได้ 2 สัปดาห์

ทำความสะอาดบ้านบ่อย ๆ ถูบ้าน ดูดฝุ่น ทำความสะอาดพรม เป็นประจำ

ฝึก สุนัขไม่ให้กระโดดใส่เจ้าของ หรืออาจกั้นแบ่งส่วนของสัตว์เลี้ยง และห้องนอน หรือส่วนที่คุณแม่ท้องอยู่ให้ ชัดเจน โดยไม่ให้มานอนร่วมห้องนอนคุณแม่ ป้องกันปัญหาเรื่องขนร่วงและภูมิแพ้

พาสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆให้ครบตามกำ หนด

เท่านี้เราก็ท้องได้อย่างปลอดภัย แถมผ่อนคลายสบายใจ เมื่อได้เห็นความน่ารักของบรรดาสัตว์เลี้ยงแสนรักค่ะ

สวย...ซ่อนเสี่ยง (รักลูก)

สวย...ซ่อนเสี่ยง (รักลูก)

เรื่อง ความสวยความงามสำหรับผู้หญิงแล้วมักยอมกันไม่ได้ค่ะ ยิ่งถ้ามีคอร์สทำหน้า หรือขัดผิวมาใหม่ก็ต้องขอลองกันล่ะ แต่คุณแม่ท้องที่รักคะ เรื่องนี้ต้องแตะเบรกไว้ก่อน เพราะการเสริมสวยโดยที่ไม่ศึกษาข้อมูลดีๆ ก็อาจซ่อนความเสี่ยงไปถึงลูกในท้องได้ค่ะ

การนวดตัว ขัดผิว...

การนวดตัว ขัดผิว หรือการสครับผิว เพื่อให้ผิวพรรณดูสดใส ขาวเนียนขึ้น กำลังเป็นที่นิยมค่ะ และในคุณแม่ท้องบางคน ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ผิวดูหมองคล้ำลง ก็กลัวจะไม่สวย เลยขอแอบไปนวดตัว ขัดตัว หรือไปสครับผิวกันบ้าง

ความเสี่ยง...การ ขัดมีหลายแบบ ทั้งนวดด้วยน้ำมันอโรมา หรือขัดผิวด้วยเกลือ ด้วยสมุนไพร พร้อมกับการนวดตัวไปด้วย โดยขัดด้วยหิน ใยต่างๆ ถ้าขัดไม่รุนแรงก็ไม่น่าจะเป็นอะไร

สิ่งสำคัญคือ ไม่ควรขัดบริเวณท้อง บริเวณฝ่าเท้า เพราะบริเวณท้องจะมีผลกระทบต่อการกระตุ้นมดลูก ให้มีการบีบรัดตัวก่อนกำหนด ซึ่งอาจจะมีปัจจัยเสี่ยงสำหรับคนที่แท้งลูกง่าย หรือคนที่คลอดก่อนกำหนด จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการคลอดลูกก่อนกำหนดได้ง่ายม ากขึ้น และบริเวณส้นเท้าที่เป็นจุดศูนย์รวมเส้นประสาท ถ้ามีการนวด หรือขูดบริเวณนี้จะส่งผลให้เกิดการหดรัดตัวของมดลูกไ ด้ค่ะ

นอกจากนี้ การขัดด้วยน้ำยา หรือสารเคมีต่าง ๆ แม้จะบอกว่าเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ หรือเป็นสมุนไพร ส่วนประกอบต่าง ๆ ก็มีโครงสร้างของสารเคมีอยู่ด้วย อย่างน้อยก็ต้องมีสารออกฤทธิ์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะออกฤทธิ์อย่างไร

ปัจจุบันพบว่า ปัญหาที่เกิดกับคุณแม่ท้องเกิดจากสภาพแวดล้อมเป็นส่ว นใหญ่ สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษได้รับสารเคมีเข้าสู่ร่างกายโด ยไม่รู้ตัว ดังนั้น จึงต้องระมัดระวังกันมาก ๆ ค่ะ

อาบน้ำอุ่น...

การอาบน้ำอุ่นช่วยให้สบาย ร่างกายผ่อนคลาย สำหรับคุณแม่ท้องบางคนก็อาจจะติดการอาบน้ำอุ่นอยู่บ่ อยครั้ง เพราะทำให้รู้สึกสบาย กล้ามเนื้อมีการผ่อนคลาย บรรเทาอาการปวดเมื่อยได้

ความเสี่ยง... การ อาบน้ำอุ่น หรือนอนแช่ในอ่างน้ำ ดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นอะไรถ้าอาบน้ำที่อุณหภูมิน้อยกว ่า 35 องศาเซลเซียส แต่ถ้าอุณหภูมิน้ำเกิน 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป ผลกระทบที่ตามมาจะคล้าย ๆ การอบซาวน่า แต่ความรุนแรงจะน้อยกว่า คือร่างกายจะเกิดการขาดน้ำ และเนื่องจากน้ำในเลือดน้อยอยู่แล้ว เลือดก็เข้มข้น ไปเลี้ยงทารกได้น้อย ส่งผลต่อการเจริญเติบโตได้เช่นกัน แต่โอกาสที่จะเกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ก็น้อยกว่ากา รซาวน่า

ถ้าคุณแม่อยากแช่น้ำอุ่น สิ่งที่ต้องทำก่อน คือ

1. ดื่มน้ำให้เพียงพอก่อนที่จะแช่น้ำอุ่น

2. ไม่ควรแช่นานเกิน 10 นาที

แต่ที่ดีที่สุดคือ อาบน้ำที่อุณหภูมิปกติ จะไม่เสี่ยงถึงเจ้าตัวเล็กในท้องค่ะ

ซาวน่า...

การเข้าไปอยู่ในห้องอบไอน้ำที่มีอุณหภูมิสูงประมาณ 70-90 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 5-15 นาที ช่วยในเรื่องการลดน้ำหนักและช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย รู้สึกสบาย อีกทั้งยังช่วยขับเหงื่อไคล และสารพิษตกค้างในร่างกายด้วย ช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสเปล่งปลั่งมากขึ้น กลายเป็นที่นิยมของสาวๆ พากันเข้าออกสปาเป็นว่าเล่นไปแล้วค่ะ

ความเสี่ยง... การ อยู่ในห้องที่มีความร้อนสูงเป็นเวลานานๆ มีโอกาสเสี่ยงที่ร่างกายจะเกิดการขาดน้ำ และการขาดเกลือแร่ที่จำเป็น ทำให้เลือดข้นขึ้น ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด ยิ่งแม่ท้อง มีโอกาสเกิดการอุดตันของเส้นเลือดได้มากกว่าผู้หญิงป กติอยู่แล้ว จึงอาจทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดได้ ทำให้เลือดไปเลี้ยงทารกน้อยลง ทารกมีขนาดเล็กและอวัยวะต่างๆ ก็ยังไม่พร้อมที่จะทนต่อความเครียดของการขาดสารอาหาร หรือความร้อนแบบนั้นได้ อาจทำให้ทารกเกิดปัญหา เช่น ถ้าเป็นน้อย การเจริญเติบโตก็อาจจะไม่เต็มที่ แต่ถ้าเป็นมากๆ ก็อาจจะเสียชีวิตในครรภ์ได้ ถ้าเกิดในระยะ 3 เดือนแรก ก็มีโอกาสที่จะแห้งบุตรได้ค่ะ

โบท็อก...

รอยเ่ยวย่นบนใบหน้าเป็นเรื่องใหญ่ จึงมีการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าสูตรต่างๆ เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอย โดยเฉพาะการฉีดโบท็อกกำลังเป็นที่นิยมมาก เพราะทำให้กล้ามเนื้อเต่งตึงขึ้นทันที

ความเสี่ยง... คุณ แม่ท้องบางคนไปฉีดโดยที่ไม่รู้ว่า สารที่ได้รับเข้าไปอาจจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได ้ เนื่องจากโบท็อก คือสารพิษที่ผลิตจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง เรียกว่า botulinum toxin ซึ่งใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง โดยใช้ปริมาณน้อยมากๆ เพื่อให้ออกฤทธิ์ต่อเส้นประสาท ทำให้เส้นประสาทไม่ทำงาน หรือเส้นประสาทเกิดเสื่อมไปชั่วคราว เมื่อเส้นประสาทเสื่อมชั่วคราว กล้ามเนื้อจะไม่มีการบีบรัด ทำให้ไม่เกิดรอยเ่ยวย่นนั่นเองค่ะ

ถ้า ได้รับสารพิษชนิดนี้ในปริมาณมากๆ ก็อันตรายมากเช่นกัน และขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้ฉีด เพราะถ้าเกิดฉีดยาเข้าสู่กระแสเลือด ก็อาจจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้ รวมทั้งพบว่าสารนี้สามารถเข้าสู่เต้านมได้ด้วยค่ะ

สวยตามธรรมชาติ...ดีที่สุด

คุณแม่ท้องทุกคนมีความสวยอยู่แล้ว เป็นความงามตามธรรมชาติของการตั้งครรภ์ เป็นสีสันที่สวยที่สุดของการที่จะเป็นแม่ ฉะนั้น ถ้าจะเป็นแม่ของใครสักคนก็ต้องเป็นคนที่อดทนอดกลั้น ที่จะดูแลตัวเองเพื่อลูกน้อยในครรภ์ค่ะ ที่สำคัญ คุณพ่อ คือกำลังใจที่ดีที่สุด ถ้าอยากได้ลูกน้อยที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ก็ต้องหมั่นชื่นชมความงามตามธรรมชาติของภรรยาสุดที่ร ักนะคะ

หยุดความสวย ที่อาจซ่อนความเสี่ยง ด้วยวิธีธรรมชาติ คือกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ อย่าใช้อะไรแปลกปลอม และนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ เมื่อฮอร์โมนต่าง ๆ ออกมาดี คุณแม่ก็จะมีสุขภาพที่ดี ความงามโดยธรรมชาติก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นค่ะ

เทคนิคสร้างลูกฉลาดตั้งแต่ในครรภ์

คุณแม่ทุกท่าน ย่อมต้องการให้ลูกที่เกิดมาเป็นเด็กฉลาดทั้งทางสติปั ญญาและอารมณ์ ถึงแม้ว่าเรื่องของกรรมพันธุ์จะเป็นปัจจัยหนึ่งต่อคว ามเฉลียวฉลาดของลูก แต่ก็ยังมีเรื่องของอาหารของคุณแม่ตั้งแต่ขณะ ตั้งครรภ์และของลูกภายหลังคลอด รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็กขณะที่อยู่ในท้อง และภายหลังคลอด ก็เป็นส่วนสำคัญต่อพัฒนาการของสมองและอารมณ์ของลูกอย ่างต่อเนื่องค่ะ
ลูกเป็นอย่างไร ในแต่ละช่วงช่วง 1-3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์เป็น ช่วงของการเริ่มต้นสร้างอวัยวะ กล้ามเนื้อต่างๆ และเซลล์ประสาทของลูกน้อย ช่วงนี้คุณแม่จะต้องดูแลเรื่องอาหาร ยา และหลีกเลี่ยงสารพิษ เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 3 ทารกจะมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกที่มากระทบได้แล ้ว ลูกจะดิ้นไปมาอยู่ในท้อง แต่แม่จะยัง ไม่ค่อยรู้สึกเพราะขนาดตัวของลูกยังเล็กมาก

ช่วง 4-6 เดือนของการตั้งครรภ์ ประสาทสัมผัสทางการได้ยินเริ่มพัฒนา ทารก จะเริ่มได้ยินเสียงหัวใจและเสียงของแม่ จำนวนเซลล์ของระบบประสาทเพิ่มมากขึ้น ทำให้ทารกเริ่มจดจำเสียงของคุณแม่ได้ และยังมีการเชื่อมต่อระหว่างระบบประสาทกับระบบกล้ามเ นื้อ ทารกสามารถเคลื่อนไหวแขนและขาตามจังหวะของ ข้อพับ กำมือ ยืดตัว หรือพลิกตัวได้แล้ว


ช่วง 7-9 เดือนของการตั้งครรภ์ เมื่อ ลูกรู้สึกว่าภายนอก มีเสียงดัง หรือหากคุณแม่กินอาหารผิดเวลา ลูกจะสื่อความต้องการ หรือตอบโต้ด้วยการดิ้น เตะ ถีบ ระบบประสาทในการมองเห็นพัฒนา รูม่านตาจะเริ่มขยายหรือหรี่ได้ แม้จะอยู่ในถุงน้ำคร่ำ ทารกก็สามารถรับรู้ต่อแสง ความมืด ความสว่างได้ และสมองของทารกช่วงนี้ เป็นระยะที่มีการขยายตัวของเซลล์และรอยหยักมากขึ้น เด็กจะมีความจำมากขึ้น


ส่งเสริม 4 พัฒนาการให้ลูกในท้อง
ขณะที่ทารกอยู่ ในครรภ์ ระบบประสาทส่วนต่างๆ ของลูกเริ่มทำงาน สามารถรับรู้และตอบสนองกับสิ่งกระตุ้นจากภายนอกท้องแ ม่ได้ โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ 4 เดือนไปแล้ว คุณแม่และคุณพ่อจึงสามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูก ได้ ดังนี้

1. ด้าน อารมณ์
คุณ แม่ที่อารมณ์ดีอยู่เสมอจะทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทั้ งสมอง (IQ) และอารมณ์ (EQ) ในทางตรงกันข้าม คนที่มีอารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย จะทำให้ลูกคลอดออกมาเป็นเด็กงอแง เลี้ยงยาก พัฒนาการช้า ดังนั้นระหว่างตั้งครรภ์ควรปรับอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ ไม่เครียด อาจฟังเพลงหรืออ่านหนังสือเพื่อช่วยในการผ่อนคลายอาร มณ์


2. ด้าน การมอง
ออก ไปยืนรับแสงแดดอ่อนๆ นอกบ้านช่วงเช้าหรือบ่าย ควรเลือกแสงที่มีความสว่างไม่จ้าจนเกินไป นอกจากนี้ การใช้ไฟฉายส่องที่หน้าท้องก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้เซล ล์สมองและเส้นประสาท ส่วนรับภาพและ การมองเห็นของทารกมีพัฒนาการดีขึ้นและเตรียมพร้อมสำห รับ การ มองเห็นภายหลังคลอด


3. ด้าน การได้ยิน
หมั่น พูดคุยกับลูกในท้องบ่อยๆ ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ใช้ประโยคซ้ำๆ เพื่อให้ลูกคุ้นเคย จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินมีพัฒน าการที่ดีและเตรียม พร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด


นอกจากนี้ การร้องหรือเปิดเพลงให้ลูกฟังบ่อยๆ โดยเฉพาะเพลง ที่มีความไพเราะและคุณแม่ชอบฟัง ซึ่งการใช้เสียงกระตุ้นจะทำให้ การได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้น ช่วงเวลาที่เหมาะในการฟังเพลง ควรเป็นช่วงหลังมื้ออาหาร เพราะเป็นช่วงเวลาที่ลูกตื่นตัวมากที่สุด ควรเปิดเสียงเพลงให้อยู่ห่างจาก หน้าท้องประมาณ 1 ฟุต และเปิดเสียงดังพอประมาณเพื่อลูกในท้องจะได้ฟังเสียง เพลงไปด้วย คลื่นเสียงจะไปกระตุ้นให้ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับ การได้ยินมีการพัฒนา ระบบการทำงานได้เร็วขึ้น ทำให้เมื่อลูกคลอดออกมาจะมีความสามารถในการจัดลำดับค วามคิดในสมอง รู้สึกผ่อนคลาย และจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดี

4. ด้าน การสัมผัส
การ ลูบไล้หน้าท้องบ่อยๆ จะกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของล ูกให้มีพัฒนาการที่ดี ขึ้น คุณแม่ควรลูบหน้าท้องเป็นวงกลมจากบนลงล่างหรือจากล่า งขึ้นบน บริเวณไหนก่อนก็ได้ โดยขณะที่สัมผัสอาจร้องเพลงหรือพูดคุย ไปด้วย ยิ่งถ้าทำในช่วงเวลาเดิมเป็นประจำจะรู้สึกได้ว่าเมื่ อถึงช่วงเวลานั้น ลูกจะดิ้นรออยู่แล้ว


นอกจากการลูบไล้หน้าท้องแล้วการออก กำลังกายเบาๆ หรือการเดินเล่น จะทำให้ลูกในท้องมีการเคลื่อนไหว ตามไปด้วย และผิวกายของลูกจะไปกระแทกกับผนังด้านในของมดลูก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาได้ ดีขึ้น ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อห น้าท้องค่ะ


ขอบคุณ : คุณกนกกาญจน์ ปานเปรม

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

แม่กินไข่ ลูกสมองดี

   ช่วงการตั้งครรภ์และให้นมลูกน้อย เป็นช่วงที่ร่างกายของแม่ต้องใช้โคลินอันเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งมากเป็นพิเศษ ยิ่งกว่านั้นการเติบโตของสมองของทารกในครรภ์มารดา ลูกน้อยยังจำเป็นต้องได้โคลินอย่างเพียงพอจากแม่ การวิจัยในหนูทดลองยืนยันว่าโคลินช่วยพัฒนาสมองและความจำของหนู ซึ่งเชื่อว่าโคลินในคนก็มีความจำเป็นต่อสมองของทารกเหมือนๆ กัน นักวิจัยบอกว่าในระหว่างตั้งครรภ์และช่วงให้นมลูก หากแม่กินไข่วันละ 2 ฟองก็จะได้โคลินเพียงพอ ถ้าเบื่อไข่ก็อาจเปลี่ยนไปกินจมูกข้าวสาลี ถั่วเหลือง กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก และเครื่องในสัตว์ ฯลฯ

ที่มา:  หนังสือโหราศาสตร์สุขภาพกับ MK

เพิ่มวิตามินดี ให้ลูกกระดูกแข็งแรง ช่วงคุณแม่ตั้งครรภ์

มีผลการศึกษาวิจัยสุขภาพจากประเทศอังกฤษ โดยเผยแพร่ผ่าน Router Health ซึ่งได้ทำการศึกษาสุขภาพเด็กในระยะยาว พบว่า เด็กๆ ที่มีโครงสร้างที่แข็งแรง มีกระดูกขนาดใหญ่และแข็งแรงกว่าเด็กคนอื่นนั้น ส่วนหนึ่งมาจากในช่วงที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์ ได้รับวิตามินดีจากแสงแดด โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด รวมถึงจากแหล่งอื่นๆ 

    จากผลการศึกษาในครั้งนี้ทำให้เห็นถึงแนวโน้มการพัฒนาสุขภาพร่างกายของเด็กๆ  ให้แข็งแรง ด้วยการให้คุณแม่ได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอตั้งแต่ในช่วงตั้งครรภ์ เพื่อพัฒนาคุณภาพหรือความแข็งแรงของกระดูกลูกน้อยตั้งแต่เนิ่นๆ  อันจะส่งผลถึงโครงสร้างกระดูกที่สมบูรณ์ของลูกเมื่อโตขึ้น  ซึ่งนอกจากการได้รับแสงแดดบ้างนิดหน่อยแล้ว คุณแม่ควรได้รับวิตามินดีผ่านทางอาหารต่างๆ ได้แก่ นม ปลาทูน่า ปลาแซลมอน หรือซีเรียล เป็นต้น 
    
    อ้อ..มีข้อแนะนำมานิดนึงคะว่า วิตามินดีจากแสงแดด คุณแม่สามารถรับได้นิดเดียวนะคะ เพราะบ้านเราแดดแรง หากได้รับมากไป อาจทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้นั่นเอง  

รู้อย่างนี้คุณแม่อย่าลืมดูแลอาหารให้ครบถ้วน 5 หมู่ เพื่อได้รับสารอาหารครบถ้วนทุกชนิดรับรองดีต่อสุขภาพลูกในระยะยาว

เคล็ดลับสำหรับคุณแม่ บำรุงสายตา ช่วงตั้งครรภ์

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและความดันโลหิตในช่วงตั้งครรภ์ อาจทำให้ดวงตาเกิดอาการพร่ามัว รวมถึงการใช้สายตาในนการทำงานเป็นเวลานานจะทำให้สายตาอ่อนล้าได้ง่าย ดังนั้น ในช่วงตั้งครรภ์จึงควรหมั่นกินอาหารที่มีสารอาหารในการช่วยบำรุงสายตาค่ะ

วิตามินเอ : มีลูทีนและซีเซนทีนช่วยบำรุงดวงตาให้ไม่ระคายเคืองง่ายและไม่แห้ง พบได้ทั้งในผลิตผลจากสัตว์ เช่น ตับ ไข่แดง นม น้ำมันสกัดจากตับปลา ส่วนผักผลไม้ที่มีวิตามินเอคือพืชที่มีสารสีเขียวจัด สีแสด สีเหลือง เช่น ผักบุ้ง มะละกอสุก ฟักทอง ตำลึง บร็อคโคลี แครอท มะม่วงสุก เป็นต้น

วิตามินอี : ช่วย ป้องกันอนุมูลอิสระไม่ให้ทำลาย จอรับภาพภายในดวงตา ซึ่งมีมากในน้ำมันพืชข้าวซ้อมมือ ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืชต่างๆ เช่น อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน ควรกินวันละ 1 ฝ่ามือเพื่อเสริมวิตามินอีให้แก่ร่างกาย ซึ่งคุณแม่อาจกินเป็นอาหารว่างระหว่างมื้อก็ได้ แต่ไม่ควรกินในปริมาณมากเกินไปเพราะอาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้

วิตามินซี : ลดความดันของน้ำภายในลูกตาและช่วยให้เส้นเลือดฝอยคอยส่งเลือดไปหล่อเลี้ยง ดวงตาให้แข็งแรง พบในผักตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อคโคลี หอมแดง มะเขือม่วง ผักที่มีสีน้ำเงินหรือม่วง รวมถึงผลไม้ต่างๆ โดยเฉพาะ เบอร์รี่สีเข้ม องุ่นแดง แอปเปิ้ลแดง ลูกเกด จะมีสาร แอนโตไซยานินส์ ช่วยให้การมองเห็นตอนกลางคืนดีขึ้น

ธาตุสังกะสี : ควรได้รับควบคู่กับวิตามินเอจะช่วยป้องกันอาการมองไม่เห็นในช่วงกลางคืนได้ ดี เช่น ปลาทะเล ผักใบเขียว ข้าวซ้อมมือ เมล็ดฟักทองและเต้าหู้ เป็นต้น

กินปลา... บำรุงสายตา

ในช่วงตั้งครรภ์ ควรหมั่นกินปลาทะเลเป็นประจำเพราะอุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งการกินปลาทะเลนึ่ง หรือลวกจะดีกว่า เพราะการทอดจะทำให้น้ำมันปลาซึมออกและสูญเสียคุณค่าทางอาหาร

การได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 จะช่วยให้เรตินาในดวงตาสามารถรับภาพได้คมชัดขึ้น เสริมสร้างการมองเห็นทั้งแม่ และลูกตั้งแต่ตั้งครรภ์ และยังช่วยในการขับสารพิษตกค้างออกจากดวงตาได้อีกด้วย

เตรียมตัวเป็นคุณพ่อมือใหม่

บทบาทอันยิ่งใหญ่ก่อให้เกิด ความรักความผูกพันในครอบครัว
เมื่อคุณผู้หญิงเริ่มตั้งครรภ์ และยิ่งเป็นการตั้งครรภ์ครั้งแรกละก็ ส่วนมากจะมีการเตรียมตัวเพื่อเป็นคุณแม่คนใหม่กันทั้งสิ้น สารพัดสื่อไม่ว่า จะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีรายการหรือบทความที่ให้ความรู้แก่คุณแม่คนใหม่มากมาย 
 จนบางครั้งถ้าคุณแม่พยายามติดตามให้ครบหมดทุกอย่างอาจจะเหนื่อยจนขาดใจตาย ก่อนได้เป็นคุณแม่ก็มี จึงอยากให้คุณผู้อ่านลองคิดดูว่าการจะมีลูกสักคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องของแม่คน เดียว พ่อก็มีส่วนสำคัญไม่น้อยในการเตรียมตัวเพื่อต้อนรับลูกน้อยที่จะเกิดมา 
 อย่างไรก็ตามบทความที่แนะนำการเตรียมตัวเป็นคุณพ่อในสื่อต่างๆน้อยมาก อาจเป็นเพราะสังคมไทย รวมทั้งประเทศทางตะวันออกอื่นๆ เช่น จีน เกาหลี และญี่ปุ่น เป็นต้น ยังคิดว่าการเลี้ยงลูกเล็กเป็นเรื่องของผู้หญิง ผู้ชายไม่เกี่ยว เพราะต้องทำงานนอกบ้าน ความคิดเช่นนี้ต่างกับประเทศทางตะวันตก ซึ่งมักอยู่กันเป็นครอบครัวเล็ก หาคนมาช่วยเลี้ยงลูกยาก ครั้นจะจ้างคนมาช่วยเลี้ยงลูก ค่าจ้างก็แพงมาก บางครั้งมากกว่ารายได้ที่คุณแม่ได้จากการทำงานเสียอีก จึงทำให้คุณแม่จำนวนไม่น้อยต้องลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกให้มันรู้แล้วรู้รอด ไปเลย เพราะคุ้มกว่า ส่วนคุณพ่อก็ต้องช่วยรับหน้าที่ในการเลี้ยงลูกหลายอย่าง เช่น ช่วยอาบน้ำลูก ซักผ้าอ้อม หรือบางทีช่วยให้นมลูกก็มี ฟังดูแล้วน่าตลก แต่เป็นเรื่องจริงครับ เพราะถ้าไม่ทำก็ไม่มีใครช่วยทำ 
           สังคมไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะสังคมเมืองใหญ่ สถานการณ์เริ่มจะเหมือนกับสังคมตะวันตกมากขึ้นเรื่อยๆ คือมักจะอยู่กันเป็นครอบครัวเล็ก และหาคนมาช่วยเลี้ยงลูกยากขึ้นทุกที ผมจึงอยากชวนคุณพ่อมาคุยกันถึงการเตรียมตัวเป็นคุณพ่อคนใหม่กัน เผื่อว่าเมื่อมีสมาชิกใหม่เกิดขึ้นจะได้ดูแลได้อย่างราบรื่นและทำให้ครอบ ครัวเป็นสุข 
           เตรียมตัวเป็นคุณพ่อคนใหม่อย่างไร 
           ผมอยากแนะนำให้คุณพ่อเตรียมตัวเสียตั้งแต่คุณแม่ยังตั้งครรภ์อยู่เลยครับ ไม่ใช่มาเตรียมกันตอนคุณแม่คลอดลูกแล้ว เพราะช้าเกินไป นอกจากนี้ตอนที่คุณแม่ตั้งครรภ์หรือกำลังจะคลอด ตัวคุณแม่เองก็ต้องการความช่วยเหลือและกำลังใจจากคุณพ่อไม่น้อยเลย การดูแลคุณแม่ตลอดช่วงการตั้งครรภ์ ขณะคลอด และหลังคลอดจึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อควรจะได้ทำอย่างต่อเนื่อง ความรักและความผูกพันที่มีต่อกันและต่อลูกที่จะเกิดขึ้นมาก็จะมากตามไปด้วย 
           ดูแลคุณแม่ขณะตั้งครรภ์ 
           เมื่อมีการตั้งครรภ์คุณแม่ส่วนมากมักจะไปฝากครรภ์กับคุณหมอที่ตัวเองไว้วาง ใจ เพื่อให้คุณหมอช่วยดูแลสุขภาพของตัวเองและลูกน้อยในครรภ์ ผมขอเรียนให้ทราบว่าคุณหมอที่ดูแลคุณแม่ไม่สามารถช่วยดูแลอะไรได้มากมายนัก หรอกครับ ส่วนมากจะเป็นการดูแลเกี่ยวกับเรื่องทางการแพทย์เสียมากกว่า และเวลาที่ให้กับคุณแม่แต่ละครั้งก็ไม่ได้มากมายอะไร ดังนั้น ตัวคุณพ่อเองซึ่งมีเวลาอยู่กับคุณแม่มากกว่าจึงควรจะรับบทบาทในการดูแลคุณ แม่อย่างเต็มที่ 
           มีเรื่องที่ผมอยากจะบอกให้คุณพ่อทราบเกี่ยวกับคุณแม่ ก็คือเมื่อมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นจะมีการเปลี่ยนแปลงในตัวคุณแม่มากมาย ทั้งเรื่องของร่างกายและอารมณ์ ในระยะแรกของการตั้งครรภ์คุณแม่จะเหนื่อยง่าย ง่วงนอนบ่อย ทานอาหารไม่ค่อยได้ คลื่นไส้ อาเจียน รู้สึกอึดอัด แน่นท้อง หายใจไม่ค่อยออก นอนลำบาก บางคนก็นอนไม่หลับ ปวดหลัง ปวดขาสารพัด ผลดังกล่าวนอกจากจะทรมานกายแล้ว ยังมีผลให้คุณแม่อารมณ์ไม่ดีได้ง่ายด้วย บางรายก็โกรธง่าย บางรายก็เศร้าซึม คุณพ่อควรเข้าใจการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และช่วยเหลือดูแลให้กำลังใจคุณแม่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะด้วยการพูดจาให้กำลังใจ ช่วยทำงานบ้าน หาอาหารให้ทาน หรือช่วยบีบนวดแก้อาการปวดน่อง ปวดขา เป็นต้น 
           เวลาไปฝากครรภ์กับคุณหมอคุณพ่อควรเป็นคนพาคุณแม่ไปฝากครรภ์ เพราะจะได้คอยให้กำลังใจคุณแม่เวลาไปฝากครรภ์ นอกจากนี้เวลาคุณหมอตรวจหรือแนะนำอะไรคุณแม่คุณพ่อก็จะได้รับรู้ด้วย และหากมีปัญหาที่ต้องตัดสินใจ เช่น คุณหมออาจต้องทำการตรวจพิเศษบางอย่างกับคุณแม่ เช่น เจาะน้ำคร่ำ ตรวจเลือดจากสายสะดือลูก คุณพ่อจะได้ช่วยตัดสินใจและให้กำลังใจคุณแม่อย่างใกล้ชิด 
          ให้กำลังใจตอนคลอด 
           ช่วงเวลาที่คุณแม่เจ็บครรภ์คลอด โดยเฉพาะถ้าเป็นการคลอดครั้งแรก คุณแม่ส่วนมากมักจะมีความรู้สึกต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรู้สึกกลัว วิตกกังวล ไม่มั่นใจ และอีกสารพัดความรู้สึก การมีคุณพ่ออยู่ด้วยขณะเจ็บครรภ์และคลอดจะเป็นการสร้างความมั่นใจและอบอุ่น ใจที่ดีที่สุดให้คุณแม่ เพราะการอยู่กับคนที่เรารักหรือรู้ใจย่อมดีกว่าคนแปลกหน้าอยู่แล้ว 
           ปัจจุบันโรงพยาบาลจำนวนไม่น้อยเริ่มให้คุณพ่ออยู่ร่วมกับคุณแม่ขณะคลอดด้วย แต่หลายโรงพยาบาลยังไม่ยอม แม้จะยอมรับว่าการที่คุณพ่ออยู่กับคุณแม่ขณะคลอดจะเป็นเรื่องดีก็ตาม ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น คุณพ่อบางคนพอเห็นเลือดก็อาจเป็นลมหน้ามืดได้ กลายเป็นภาระให้หมอต้องมาดูแลพ่อแทน บางคนก็ไม่ยอมทำตามกฎเกณฑ์ที่ทางโรงพยาบาลสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ในห้องคลอด หรือบางคนก็ไปวุ่นวายในห้องคลอดจนบุคลากรในห้องคลอดไม่ต้องทำงาน ดังนั้น ก่อนจะเข้าไปในห้องคลอดคุณพ่อควรเตรียมตัวและเตรียมใจให้พร้อมก่อน ซึ่งโรงพยาบาลบางแห่งก็จัดให้มีการอบรมเพื่อการเตรียมตัวเป็นคุณพ่อ 
           ช่วยเลี้ยงลูกภายหลังคลอด 
           การเลี้ยงลูกหลังคลอดใหม่ๆเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสไม่น้อย จนคุณแม่หลายคนบ่นให้ผมฟังว่าตอนลูกอยู่ในท้องก็ว่าแย่แล้ว พอคลอดออกมายิ่งแย่หนักเข้าไปอีก อยากให้ลูกกลับเข้าไปอยู่ในท้องใหม่จังเลย เพราะตั้งแต่ออกมาพ่อแม่ไม่ได้หลับนอนเลย เนื่องจากเจ้าตัวน้อยตื่นนอน แหกปากร้อง และกินนมตอนดึกๆทุกคืน แต่เวลากลางวันที่ควรจะตื่นกลับนอนเอ้านอนเอา แถมหลับตาพริ้มให้น่าหมั่นไส้อีกต่างหาก ถ้าโตหน่อยน่าจะถองซะให้เจ็บ คุณแม่บางคนหลังคลอดแค่สัปดาห์เดียวก็ต้องอดนอนจนซูบซีดคล้ายผีดิบเคลื่อน ที่เลยก็มี บางคนเล่าให้ผมฟังว่าคลอดลูกแค่คนเดียวก็รู้สึกรักแม่ของตัวเองขึ้นอีกมาก เลย เพราะแม่มีลูกตั้งหลายคน แต่ไม่เคยปริปากเล่าเรื่องความทุกข์ยากเวลาเลี้ยงลูกให้ฟังเลย มาเจอด้วยตัวเองถึงเข้าใจ 
           ในช่วงหลังคลอดคุณพ่อควรจะเป็นผู้ช่วยแบ่งเบาภาระในการเลี้ยงลูก ไม่ว่าจะสลับกันนอนกับคุณแม่เพื่อให้นมลูก ช่วยคุณแม่ชงนม ล้างขวดนม หรือช่วยซักผ้าอ้อม เป็นต้น ในประเทศทางตะวันตกมีการนำคุณพ่อมาอบรมในเรื่องการดูแลลูกหลังคลอดมากมาย หลายหลักสูตร เพื่อให้แน่ใจว่าคุณพ่อจะช่วยเลี้ยงดูลูกน้อยได้อย่างถูกวิธี บางโรงพยาบาลก็อบรมให้ฟรี บางโรงพยาบาลก็เก็บค่าอบรมมากน้อยแล้วแต่ 
           การทำหน้าที่เป็นคุณพ่อคนใหม่เป็นบทบาทที่ยิ่งใหญ่กว่าหน้าที่การงานอีก หลายอย่าง เพราะหน้าที่นี้คือการทำงานเพื่อสร้างคน โดยเฉพาะเป็นคนที่จะมาเป็นตัวแทนของคุณพ่อเองนั่นแหละ การที่คุณพ่อได้มีส่วนในการดูแลทั้งตัวคุณแม่ขณะตั้งครรภ์และลูกน้อยที่ เพิ่งคลอดออกมาจะก่อให้เกิดความรักและความผูกพันที่คุณพ่อจะมีให้แก่คุณแม่ และลูกน้อยไปอีกยาวนาน เพราะฉะนั้นมาเตรียมตัวเป็นคุณพ่อคนใหม่กันเถิด 

ที่มา
โดย : รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์
ข้อมูลจาก : โรงพยาบาลศิริราช

เคล็ดลับวิธีแก้ท้องลาย สำหรับคุณแม่มือใหม่

        คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ควรศึกษาไว้ก่อนได้นะค่ะ

        สาเหตุเกิดจาก การยืดของผิวหนังอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ มีทั้งที่พบได้ในภาวะปกติ และในคนที่เป็นโรค เช่น หญิงตั้งครรภ์, หญิงให้นมบุตร, คนที่อ้วนขึ้นอย่างรวดเร็ว, ในวัยรุ่น (อยู่ในช่วงอายุ 9-13 ปี) ที่มีการเปลี่ยนแปลงของการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว คนที่เป็นโรค Cushing's และ Marfan syndromes ผู้ป่วย เบาหวาน และการใช้ยาทา หรือรับประทานที่มีส่วนประกอบของสเตีรอยด์นานเกินไป

วิธีรักษา ถ้าเป็นหญิงตั้งครรภ์หลังคลอดบุตรแล้วอาการก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่อาจป้องกันด้วยการทาโลชั่นบำรุงผิวเป็นประจำ ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ โอกาสเกิดก็จะน้อยลง ส่วนในคนที่อ้วน ถ้า ลดน้ำหนัก ลงมารอยแตกลายงาก็จะน้อยลง ที่สำคัญอย่าใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันนานจนเกินไป และต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์

การรักษา ด้วยการใช้ยาทาที่ประกอบด้วย กรดวิตามินเอ เช่น tretinoin ทำให้อาการของโรคนี้ดีขึ้น และข้อแนะนำ คือ ควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้รูปร่างดีและแข็งแรงด้วย

คุยกับลูกในท้อง คุณแม่ควรทำ

เป็นธรรมดาค่ะ เมื่อเป็นคุณแม่มือใหม่ทั้งที่ก็ยอมต้องสรรหาสารพัดวิธีมาบำรุงครรภ์เพื่อลูกและการลูบไล้สัมผัส เจ้าตัวเล็กผ่านผนังท้องก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เค้าเติบโตอย่างมีความสมบูรณ์พร้อมทั้งความรัก ความผูกพัน และความฉลาด ซึ่งเรื่องนี้มีการวิจัยมาแล้วในหลายๆประเทศนะคะเราเลยรวบรวมมาให้คุณแม่ทดสอบดูค่ะ
เตรียมตัวก่อนทักทาย อย่างแรกเลย คุณแม่ก็ทำใจสบาย ๆ นะคะ เอาความเครียด ความกังวลทิ้งไปก่อนจากนั้นก็ปิดโทรศัพท์มือถือเสีย จะได้ไม่มีใครโทรมารบกวน อะไรที่ทำค้างไว้ก็หยุดเสียก่อน แล้วเลือกสมเสื้อผ้าสบายๆแล้วนั่งบนพื้นนิ่ม ๆ ให้ท่าที่สะดวกสบายที่สุด อาจหาหมอนรองไว้ที่ใต้เข่าเพื่อช่วยหนุนให้เลือดลมไหลเวียนดียิ่งขึ้น แล้วเปิดเพลงเบา ๆ อย่างเพลงคลาสสิก พร้อมกับฉีดสเปรย์แต่งกลิ่นห้องให้สดชื่นจะได้รู้สึกแจ่มใส


1. นวดสื่อภาษารัก ให้คุณแม่ผสมเบบี้ออยส์กับแป้งฝุ่นบนฝ่ามือ แล้วลูบไล้ไปที่หน้าท้องในทิศทางตามเข็มนาฬิกา พยายามนวดอย่างเบามือ แต่ไม่ต้องถึงกับเกร็ง ไม่ต้องกลัวว่าทารกจะเป็นอันตรายนะคะ เพราะในครรภ์มีน้ำคร่ำที่ช่วยป้องกันการกระทบกระเทือนให้เค้าอยู่แล้ว เมื่อนวดไปสักพัก คุณแม่รู้สึกได้ค่ะว่าทารกน้อยกำลังดิ้นเบาๆตอบมา นั่นแสดงว่าเค้ารับรู้ได้ถึงแรงกระตุ้นที่คุณแม่ส่งไปหาเค้าค่ะ


2. พูดคุยกับลูกผ่านผนังท้อง แม้ว่าทารกน้อยจะยังอยู่ในท้อง แต่เค้าก็ได้ยินเสียงของคุณแม่นะคะ ซึ่งเรื่องนี้มีการวิจัยกันมา ดังนั้นแล้ว คุณแม่ลองทักทายเค้าด้วยการเรียกชื่อดูสิคะ ไม่ก็ใช้คำที่ต้องใช้บ่อยครั้งในชีวิตประจำวัน เช่นสวัสดี พ่อรักลูกนะ แม่รักลูกนะเป็นต้น แรงสั่นสะเทือนของเส้นเสียงจะค่อย ๆ ซึมผ่านผนังหน้าท้อง น้ำคร่ำ แล้วมายังทารก ซึ่งมีรายงานว่า นั่นจะช่วยให้ทารกคุ้นเคยกับคำต่าง ๆ และมีพัฒนาการทางภาษาดีขึ้นเมื่อเติบใหญ่ค่ะ


3. ให้ลูกฟังเพลงเบา ๆ ขณะสัมผัสเขาผ่านผนังหน้าท้องคุณแม่ก็อย่าลืมเปิดเพลงให้เค้าฟังไปด้วยนะคะ เรื่องนี้ได้รับการส่งเสริมจากหลายสถาบันทีเดียวว่าเป็นการช่วยพัฒนาทั้งความฉลาดและอารมณ์ของทารกได้มาก เพียงแต่ต้องเลือกแนวเพลงหน่อย อย่างเพลงคลาสสิกยิ่งดี หรืออาจเป็นเพลงน่ารัก ๆ ของเด็ก ๆ แต่สำหรับแม่และเด็ก แนะนำว่าเพลงไทยเดิมก็ไม่เลวนะคะ


4. ใช้แสงไฟกระตุ้นการมอง ถึงแม้จะไม่มีผลยืนยันว่า การใช้ไฟฉายส่องไปที่หน้าท้องจะมีผลให้ทารกตอบสนองกลับมา แต่ก็เป็นความเชื่อของคุณแม่หลาย ๆ ท่าน และปฏิบัติกันมา ว่าวิธีจะช่วยพัฒนาการทักษะการมองของลูกให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งก็ทำโดยใช้ไฟฉายหลอดเล็กที่มีแสงไม่จ้า ฉายส่องไปที่หน้าท้องประมาณ 5 วินาที แล้วสังเกตว่าทารกแสดงปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการเคลื่อนไหวเบาๆตอบกลับมา


5.
ล้อมวงสนทนาประสาคณาญาติ
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว อย่าสนุกอยู่กับลูกคนเดียวเลยค่ะ ลองชวนคุณสามี คุณย่าคุณยาย และคณาญาติทั้งหลายแหล่มาร่วมวงสนทนาพาทีกันเถอะ เพราะมีผลยืนยันมาแล้วนะคะ เทียบระหว่างคุณแม่ 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีญาติสนิทมิตรสหายมาเยี่ยมเยียนพูดคุยทักทายบ่อยครั้ง กับอีกกลุ่มค่อนข้างสันโดษ ไม่ค่อยมีใครมาเยี่ยมเยียนพูดด้วย

ผลปรากฏว่า ทารกที่คลอดจากคุณแม่กลุ่มแรก มีทักษะความฉลาดและอารมณ์ดีกว่ากลุ่มที่สอง ซึ่งทารกค่อนข้างเป็นเด็กเลี้ยงยาก มักจะงอแง แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวจนโตเรื่องนี้ว่ากันว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทารกได้ซึมซับความรัก ความอบอุ่นจากคนรอบข้างอย่างเดียวกับที่แม่ได้รับด้วย และอีกเหตุผลคือ เมื่อมีคนมาเยี่ยม แม่ก็ความสุข เบิกบาน และสดชื่น และเป็นผลพลอยได้ส่งต่อมายังทารกด้วย ดังนั้นแล้ว ถ้าอยู่บ้านว่างๆก็ลองโทรชวนเพื่อนๆหรือญาติมาเที่ยวบ้างนะคะ ไม่ก็หาโอกาสรวมญาตินัดทานข้าวกัน รับรองสนุกทั้งแม่และทารกน้อยค่ะ



เล่นกับลูกในท้องได้อะไรเอ่ย ไม่ว่าจะเป็นการนวด ภาษาน่าเล่น หรือการใช้ไฟฉาย สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยสร้างความเพลิดเพลินเท่านั้นค่ะ แต่ยังให้ประโยชน์มากมายเลยค่ะ อาทิเช่น

ช่วยพัฒนาด้านระบบหมุนเวียนสารอาหารและออกซิเจน ไปสู่ทารกดีขึ้น 

ช่วยพัฒนาด้านการเคลื่อนไหว

ทารกรู้สึกอบอุ่นใจ เพิ่มความผูกพัน

ที่มา : นิตยสาร แม่และเด็ก

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เตรียมความพร้อม ค่าใช้จ่ายก่อนคลอด คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรรู้

สมัยนี้จะมีลูกทั้งที คุณพ่อคุณแม่ต้องวางแผนกันให้ยาวสักหน่อย ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูก 1 คนให้เติบโตนั้น ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย นอกจากการทุ่มเทใจในการเลี้ยงลูกแล้ว เงิน ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะมาอำนวยความสะดวกให้คุณ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้ลูกเติบโตขึ้นก็ตามที ก่อนที่ลูกจะเติบโตขึ้นมาช่วยคุณพ่อคุณแม่ใช้เงินนั้น ระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่ก็ต้องมีรายจ่ายจิปาถะกันแล้ว
รายจ่ายจำเป็น...แบ่งเป็น
1.ค่าตรวจครรภ์ ตลอดการตั้งครรภ์ (ตามกำหนดที่คุณหมอนัดตรวจ)
2.เสื้อผ้า ชุดคลุมท้อง
3.ค่าใช้จ่ายในการคลอด
4.ของใช้ลูกน้อยที่จำเป็นต้องใช้ และเตรียมให้ล่วงหน้า
5.เงินสำรองในกรณีฉุกเฉินต่างๆ
 
เตรียมให้พร้อมก่อนวันคลอด
ถ้าคุณแม่ต้องการฝาก ครรภ์ และคลอดที่โรงพยาบาลเอกชน แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐบาล 3-4 เท่าตัว แต่ในกรณีนี้อยากให้คุณแม่ดูที่ตัวคุณหมอ และความสะดวกในการเดินทางเป็นหลัก
 
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะไปฝากครรภ์และคลอดที่โรงพยาบาลใด ก็ขอให้ศึกษารายละเอียดค่าใช้จ่ายที่จะตามมา


โรงพยาบาลรัฐบาล
เมื่อคุณแม่ เลือกฝากครรภ์กับโรงพยาบาลรัฐบาล ค่าใช้จ่ายต่างๆ ตั้งแต่ค่าบริการทางการแพทย์ ค่ายา ค่าอัลตร้าซาวนด์จะไม่แพง
ข้อดี
  1. ประหยัดค่าใช้จ่าย
  2. มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา
  3. คุณแม่ที่ทำงานราชการ หรือรัฐวิสาหกิจสามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้
 
ข้อเสีย
  1. คนไข้เยอะต้องรอคิวตรวจค่อนข้างนาน
  2. ขั้นตอนในการทำธุระต่างๆ กับทางโรงพยาบาลหลายขั้นตอน เช่น จ่ายเงิน รับยา ตรวจเลือด
  3. จำนวนห้องพักพิเศษมีน้อย อาจจะต้องอยู่ห้องรวม ถ้าห้องพักพิเศษเต็ม
 
รายจ่ายต่างๆ ในโรงพยาบาลรัฐ มีการแจ้งไว้อย่างเรียบร้อยเป็นเอกสารบริเวณหัวเตียง หรือถ้าไม่มี คุณแม่สามารถขอดูได้จากพยาบาล ซ฿งมีการแจงไว้อย่างละเอียด เช่น ค่าคลอดธรรมชาติ ค่าผ่าตัดคลอด ยาบล็อคหลัง ยาสลบ ค่ายาต่างๆ ค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าเตียงทารกแรกเกิด ฯลฯ ซึ่งค่าใช้จ่ายมักจะเริ่มในหลักพัน แต่ถ้ามีการผ่าคลอด ก็ขึ้นไปหลักหมื่นต้นๆ
 
โรงพยาบาลเอกชน
ซึ่งก็มีหลายระดับ ให้คุณแม่เลือก (คล้ายๆ กับโรงแรม) แต่ละแห่ง ก็จะมีความหลากหลายทั้งเรื่องการบริการ และราคาแตกต่างกันออกไป
 
ข้อดี
  1. คนเข้ารับบริการไม่มากเหมือนโรงพยาบาลรัฐไม่ต้องรอคิวนาน
  2. ได้รับความสะดวกสบายในเรื่องต่างๆ มีข้องใช้เบื้องต้นสำหรับเด็กอ่อนให้ครบครัน
  3. มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาเช่นเดียวกัน
 
ข้อเสีย
1.ค่าใช้จ่ายสูง ไม่สามารถเบิกได้
2. มีการคิดค่าใช้จ่ายจิปาถะค่อนข้างมาก ฉะนั้นคุณแม่ควรศึกษาในรายละเอียดให้ดีก่อน
 
ปัจจุบันโรงพยาบาล เอกชนต่างมีการโฆษณาเชิญชวน ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการคลอด ที่เราได้ยินกันว่าเป็นแพ็กเกจคลอด มีหลายรูปแบบให้เลือก คือ การคลอดธรรมชาติ การผ่าตัดคลอด ซึ่งในแต่ละแพ็กเกจก็ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยไปอีก เช่นจะใช้ยาบล็อกหลังหรือไม่ หรือต้องนอนพักโรงพยาบาลได้กี่วัน ค่าพยาบาลทารกแรกคลอด ค่าตรวจพิเศษ ฯลฯ
 
ซึ่งคุณแม่ที่เลือกรูป แบบค่าใช้จ่ายในลักษณะนี้ ต้องดูหมายเหตุได้ดีเสียก่อน เพราะ มีการคิดค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆ ที่ว่ามาค่อนข้างมาก ไม่เช่นนั้น หลังจากคลอดลูกน้อยเรียบร้อยแล้วต้องจ่ายสตางค์ อาจมีอาการตกใจ งงว่าค่าอะไรที่เพิ่มบ้าง เรื่องแบบนี้ถ้าคุณแม่สงสัย ก็ควรสอบถามทันที
 
ค่าใช้จ่ายในการคลอด โรงพยาบาลเอกชน เริ่มจากหลักหมื่น ไปจนถึงหลักแสนก็เป็นได้ ถ้าเป็นโรงพยาบาลชั้นนำ ทั้งนี้ตัวแปรที่สำคัญ ในส่วนของกรณีฉุกเฉิน เช่น เลือกแพ็กเกจคลอดธรรมชาติเอาไว้ ราคา 25,000 บาท แต่เมือถึงเวลาจริง คุณแม่จำเป็นต้องผ่าคลอด ค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มอีกเท่าตัว เพราะในส่วนของค่าอุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงห้องพักที่ต้องอยู่โรงพยาบาลนานขึ้น
 
หลักการออกเงินก่อนคลอด
1.คำนวณค่าใช้จ่ายตลอดการตั้งครรภ์ไว้คร่าวๆ เช่น ตั้งครรภ์ช่วง 4-5 เดือนแรกต้องไปหาคุณหมอเดือนละ 2 ครั้ง
2.ถ้าคุณแม่เลือกโรง พยาบาลเอกชน จะรู้ว่าค่าใช้จ่ายในการคลอดอย่างต่ำเป็นเงินเท่าไหร่ ก็ควรเผื่อเพิ่มไว้อีกจำนวนหนึ่ง เผื่อเหตุฉุกเฉินต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้เงินเพิ่ม
3.ถึงแม้เด็กแรกเกิด ยังไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ คุณก็ควรมีเงินออม ในกรณีที่ลูกไม่สบาย หรือต้องซื้อของใช้ ซึ่งในปัจจุบันของใช้เด็กอ่อนมีให้เลือกมากมาย หลากหลายคุณภาพ และหลายหลายราคาให้คุณแม่ได้เลือกหามาใช้ ตามความพอใจ และกำลังเงิน
 
การเลือกโรงพยาบาลอะไรนั้น อยากให้คุณแม่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่ง นั่นคือ การเลือกแพทย์ที่คุณแม่จะไปฝากครรภ์ และเป็นผู้ทำคลอดให้ รวมถึงความสะดวกในการเดินทางไปรับการตรวจตลอดการตั้งครรภ์ของคุณแม่และลูกใน ท้องด้วยค่ะ
ที่มา : http://taraddek.igetweb.com

แนะนำคุณพ่อคนใหม่ก่อนเข้าห้องคลอด

น.พ.อานนท์ เรืองอุตมานันท์ สูติแพทย์จากโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ ได้ฝากคำแนะนำสำรับคุณพ่อที่อยากจะอยู่เป็นกำลังใจคุณแม่ระหว่างคลอดว่า..

    คุณพ่อควรจะถามคุณหมอก่อนว่าสามารถเข้าไปได้หรือไป เพราะบางโรงพยาบาลก็ไม่อนุญาตให้เข้า (ส่วนใหญ่โรงพยาบาลเอกชนอนุญาต)
 อยู่ถูกที่ถูกทาง
   ถามคุณหมอที่ทำคลอดว่าคุณสามารถทำอะไรได้บ้าง และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอควรอยู่ในบริเวณที่คุณหมอแนะนำ คือบริเวณหัวเตียง โดยไม่สร้างความวุ่นวายและขัดขวางการทำงานของแพทย์และพยาบาล

 เป็นเพื่อนพึ่งพา

ให้กำลังใจ เอาอกเอาใจ เข้าใจถึงความเจ็บปวดที่ภรรยาเผชิญอยู่และแสดงให้เห็นว่าคุณพร้อมช่วยเหลือตลอดเวลา
 ปรับตัว
   ทำตัวให้คุ้นเคยและทนได้เมื่อเห็นภรรยาเจ็บปวด และสามารถเห็นเลือดและได้กลิ่นเลือดโดยไม่เป็นอะไร
 ป้องกันดีกว่าแก้ไข
   ไม่ควรมาดูตอนหัวลูกโผล่ เพราะภาพที่เห็นอาจจะไม่น่าดูจนเกิดฝังใจและเกิดปัญหาเรื่องเซ็กส์ตามมาหลังจากคลอดลูกได้

 
อย่าลืม...ของสำคัญ
 1.กล้องถ่ายรูปหรือกล้องวิดีโอ สำหรับบันทึกภาพสำคัญของลูก 2.เสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวของคุณพ่อ เมื่อต้องนอนเฝ้าภรรยา
 3.จิตใจที่เข็มแข็ง คำปลอบโยนสร้างกำลังที่แสนอบอุ่นสำหรับคุณแม่ของลูก

………………………………………………………………………ขอบคุณข้อมูล น.พ.อานนท์ เรืองอุตมานันท์ที่มาข้อมูล momypedia

วิธีรับมือกับอารมณ์แปรปรวนของว่าที่คุณแม่มือใหม่

ทำไมอารมณ์ถึงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
    การที่ว่าที่คุณแม่มีอารมณ์แปรปรวนอยู่ตลอดเวลานั้น
ไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วง
12 สัปดาห์แรก
ของการตั้งครรภ์ที่ภรรยาของคุณต้องเผชิญกับอาการแพ้ท้อง
และความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยหมดเรี่ยวแรง ซึ่งเรียกได้ว่าไม่ใช่
เรื่องน่าสนุกเลย ช่วงนี้ฮอร์โมนในร่างกายของเธอจะปั่นป่วน
ไปหมดและเธอยังจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ
มากมาย ทั้งทางร่างกายและจิตใจ บางวันเธออาจรู้สึก
ปลาบปลื้มใจกับการมีลูกและวันถัดไปเธออาจรู้สึกกลัวและ
ไม่มั่นใจ จริงๆแล้ว เธอเองก็อาจจะรู้ตัวว่าตัวเองมีอารมณ์
แปรปรวนจนยากที่จะคาดเดาพอๆ กับคุณก็ได้


 คุณพ่อจะช่วยคุณแม่ได้อย่างไรบ้าง

    หากภรรยาของคุณกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์หรืออารมณ์
แปรปรวนอย่างไม่มีเหตุผล ขอให้คุณคิดไว้ว่านั่นเป็นเพราะ
ฮอร์โมนของเธอเปลี่ยนแปลง ภรรยาของคุณเองอาจไม่รู้
ด้วยซ้ำว่าที่เธอเป็นเช่นนี้ก็เพราะ
ฮอร์โมนแต่ไม่ว่าคุณ
จะทำอะไรก็ตาม อย่าบอกเธอว่านั่นเป็นเพราะฮอร์โมน
เด็ดขาด ขอให้จำไว้ว่า ถึงแม้สิ่งต่างๆ ที่เธอพูดหรือแสดงออก
อาจจะดูไร้เหตุผลมากเพียงไร แต่ ณ เวลานั้น นั่นคือความรู้สึก
ที่แท้จริงสำหรับเธอ เพราะฉะนั้น ควรปล่อยให้เธอพูดในสิ่งที่
เธอต้องการ ปลอบใจเธอยามเมื่อเธอต้องการและรอให้เธอ
สงบลงเอง เมื่อผ่านมาได้ สักวันหนึ่งคุณกับเธอจะรู้สึกขบขัน
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ควรพยายามเอาใจเธอ
ด้วยการทำสิ่งที่เธอชอบก็จะสามารถช่วยทำให้อารมณ์ที่
แปรปรวนของเธอสงบลงได้ เช่น พาเธอไปดูหนังหรือ
ทานข้าวนอกบ้าน ซื้อดอกไม้ให้ หรือชงชาอุ่นๆ ให้จิบ
ในขณะที่เธอนอนผ่อนคลาย และอาจจะชวนเธอไปพบปะ
สังสรรค์กับคนที่เธอรัก เช่น ญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูง

 ปลอบใจเธอ
    เบื้องหลังอารมณ์ที่แปรปรวนของเธอ บางทีอาจจะ
ซ่อนไว้ซึ่งความกลัวและวิตกกังวลใจบางอย่างก็เป็นได้
ดังนั้น ในช่วงที่เธออารมณ์ดี คุณควรถามเธอถึงสิ่งที่ต่างๆ
ที่ทำให้เธอรู้สึกเป็นกังวลและให้กำลังใจเธอ เธออาจกำลัง
รู้สึกกังวลว่าคุณจะดูแลครอบครัวได้อย่างไร หรืออาจ
ต้องการรู้สึกมั่นใจว่าคุณยังคงรักและห่วงใยเธออยู่เสมอ

 ผมเป็นห่วงว่าอารมณ์ที่แปรปรวนของเธอไม่ได้
    เกิดจากฮอร์โมนเพียงอย่างเดียว

    หากคุณรู้สึกเป็นห่วงว่าอารมณ์ที่แปรปรวนของภรรยา
ของคุณไม่ได้เกิดจากฮอร์โมนในช่วงตั้งครรภ์เพียงอย่างเดียว
ลองพูดคุยกับเธอเพื่อชวนเธอไปพบแพทย์หรือนักบำบัดด้วยกัน
ว่าที่คุณแม่ประมาณร้อยละ
10 อาจมีอาการซึมเศร้าเล็กน้อยถึง
ปานกลางได้ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไป เพราะยังมีวิธีการต่างๆ
มากมายที่ช่วยแก้ไขอาการเหล่านี้ได้


......................................................................
ขอบคุณข้อมูล DUMEX

วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ตั้งครรภ์ในเดือนที่ 4

เดือนที่ 4, 5 และ 6 เป็นช่วงเวลาที่คุณจะรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ และตัวอ่อนเริ่มมีลักษณะเหมือนเด็กทั่วไป คือ มีขนตา ผม และการดูดนิ้ว



เดือนที่ 4

-อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าจะลดน้อยลง หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลยในช่วงปลายไตรมาสที่ 2
-คุณควรเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ เพื่อให้เหมาะกับรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงที่มีการขยายของเอวและสะโพก
-คุณอาจสังเกตว่ามีการเพิ่มขึ้นของน้ำลาย ซึ่งบางครั้งอาจเกี่ยวกับอาการคลื่นไส้ และมีเหงื่อออกมากขึ้น
-คุณอาจจะรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์



ทารกเดือนที่ 4

-สัปดาห์ที่ 13 ของการตั้งครรภ์ ตัวอ่อนจะมีรูปร่างสมบูรณ์แล้ว ดังนั้น ช่วงเวลาต่อไปของการตั้งครรภ์จะเป็นการเพิ่มขยายของ--ขนาดและอวัยวะภายในต่างๆให้ทำงานได้สมบูรณ์มากขึ้น
-สัปดาห์ที่ 14 น้ำหนักทารกจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ  64 กรัม (2 ¼ ออนซ์) ช่วง 1 อาทิตย์ก่อนหน้านี้ทารกจะมีน้ำหนักอยู่ที่ 28 กรัม ( ประมาณ 1 ออนซ์) การตรวจด้วยวิธีอัลตราซาวด์ สามารถตรวจการเต้นของหัวใจ  ช่วงนี้ทารกสามารถที่จะงอนิ้วเป็นกำปั้นได้
-สัปดาห์ที่ 16 พบการเคลื่อนไหวของทารก ทารกมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงขึ้น และอาจจะพบว่ามีขนอ่อนครอบคลุมอยู่ทั่วร่างกายและเริ่มมีคิ้วให้เห็น

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เคล็ดลับ วิธีร่วมเพศ เมื่อภรรยาตั้งท้องสามีควรรู้

เป็นคำถามยอดฮิตอันดับแรกที่มักจะถามกัน แต่เท่าที่ผมคุยกับคุณแม่หลายคน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากมีเซ็กซ์เท่าไหร่ แต่ที่เป็นห่วงหรือกังวลมักจะเป็นเรื่องของสามีมากกว่า กลัวว่าถ้าไม่ให้มีเซ็กซ์แล้ว สามีอาจจะแอบไปหาอีหนู แต่ถ้าให้มีก็กลัวว่า จะเกิดอันตรายสารพัดทั้งต่อตัวแม่เองและลูกในท้อง

     ความจริงแล้วขณะตั้งครรภ์คุณแม่สามารถมีเซ็กซ์ได้ตามปกติ ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ไปจนกระทั่งใกล้คลอด จะมีแค่บางช่วงที่ควรลดการมีเซ็กซ์ลงบ้าง เช่น ตอนตั้งครรภ์ใหม่ ๆ เพราะคุณแม่ส่วนมากมักมีอาการแพ้ท้อง เวียนศีรษะ อ่อนเพลียง่าย อีกช่วงหนึ่งที่ควรจะงดเว้นการมีเซ็กซ์ก็คือ ช่วงใกล้คลอดมากๆแล้ว เพราะช่วงนี้ร่างกายของคุณแม่จะดูค่อนข้างอึดอัดอุ้ยอ้าย แค่นั่งหรือเดินตามปกติก็เหนื่อยแทบจะขาดใจตายอยู่แล้ว ถ้ามามีเซ็กซ์ตอนนี้อาจจะทำให้เหนื่อยได้มากกว่าปกติ นอกจากนี้ การมีเซ็กซ์ตอนที่ใกล้คลอดอาจจะทำให้ถุงน้ำคร่ำที่ล้อมรอบตัวเด็กเกิดการแตก หรือรั่ว ทำให้มีน้ำคร่ำไหลออกมาก่อนเจ็บครรภ์คลอดได้ ซึ่งผลดังกล่าวจะทำให้คุณแม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเข้าไปในโพรงมดลูกได้

     มีเพียงคุณแม่อยู่บางคนเท่านั้นที่จำเป็นต้องงดการมีเซ็กซ์ขณะตั้งครรภ์ไป เกือบตลอดช่วงการตั้งครรภ์ เช่น คุณแม่ที่เคยแท้งบุตร หรือคลอดก่อนกำหนดมาก่อน เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาซ้ำได้ นอกจากนี้คุณแม่ที่มีภาวะรกเกาะต่ำก็ควรงดการมีเซ็กซ์โดยเด็ดขาด เพราะอาจไปกระตุ้นให้มีเลือดออกมากจนเป็นอันตรายได้

   เวลามีเซ็กซ์จะเป็นอันตรายต่อลูกไหม?

      อยากให้คุณแม่ลองจินตนาการดูว่า ลูกที่อยู่ในท้องก็คล้ายกับก้อนหินที่อยู่ในลูกโป่งใส่น้ำแล้วยัดใส่เข้าไป ในขวดอีกทีหนึ่ง และเจ้าขวดที่ว่าก็มีปากขวดที่ปิดและแข็งแรงพอควร เวลาที่มีเซ็กซ์กัน อวัยวะเพศของสามีอย่างมากก็จะไปโดนแค่บริเวณปากขวดเท่านั้น โอกาสที่ลูกในท้องจะได้รับอันตรายจึงน้อยมาก



   เวลาถึงจุดสุดยอดลูกจะได้รับอันตรายไหม

      มีหลายคนเข้าใจถูกว่า เวลามีเซ็กซ์ขณะตั้งครรภ์ไม่มีอันตรายต่อลูก แต่พอใกล้ถึงจุดสุดยอดนี่ มักจะมีการเกร็งกล้ามเนื้อและมดลูกอาจจะหดตัวได้ จึงกลัวว่าลูกจะได้รับอันตราย ขอตอบว่าข้อมูลทางการแพทย์ที่มีพบว่าไม่จริงครับ

   การมีเซ็กซ์จะกระตุ้นให้เจ็บครรภ์คลอดไหม

      มีหลักฐานทางการแพทย์ว่า การที่อวัยวะเพศของผู้ชายไปกระแทกกับปากมดลูก รวมทั้งน้ำอสุจิที่มีการหลั่งขณะมีเซ็กซ์สามารถกระตุ้นให้ปากมดลูกสร้างสาร เคมีตัวหนึ่งที่ชื่อว่า พรอสตราแกลนดิน (Prostaglandins) เจ้าสารที่ว่านี้สามารถทำให้ปากมดลูกนุ่มขึ้นและกระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัวได้ อย่างไรก็ตาม สารที่สร้างขึ้นมานี้ก็ไม่ได้มากพอจนทำให้คุณแม่เจ็บครรภ์คลอดหรอกครับ ยกเว้นแต่คนที่ใกล้จะคลอดอยู่แล้วถึงอาจจะเจ็บครรภ์คลอดได้

   เซ็กซ์ตอนท้องจะให้ความรู้สึกเหมือนตอนไม่ท้องหรือไม่

      เวลามีการตั้งครรภ์จะมีเลือดมาเลี้ยงที่อวัยวะต่าง ๆ มากขึ้นกว่าปกติ ทำให้มีการบวมเกิดขึ้น เคยลองสังเกตไหมว่า พอตั้งครรภ์ไปสักระยะหนึ่ง คุณแม่บางคนจะมีขาบวม หน้าบวม ที่บริเวณช่องคลอดก็บวมด้วย เพียงแต่สังเกตยากหน่อย

      การที่อวัยวะสืบพันธุ์มีเลือดมาเลี้ยงมากและบวมขึ้น จะทำให้คุณแม่มีความรู้สึกทางเพศเร็วขึ้นและมากขึ้นเวลามีเซ็กซ์ ที่เต้านมก็เช่นกันถ้าได้แตะจะมีความรู้สึกไว นอกจากนี้ยังจะรู้สึกว่าช่องคลอดมีการหล่อลื่นดีกว่าตอนไม่ตั้งครรภ์เสียอีก เพราะคนท้องจะมีตกขาวมากกว่าคนปกติ

   วิธีไหนดี

      ในช่วงท้องอ่อนๆ จะมีวิธีและท่วงท่าต่างๆ ของการมีเซ็กซ์อย่างไรก็ได้ แต่เมื่อท้องแก่ขึ้น ขอให้เลือกวิธีที่อันตรายน้อยลงหน่อยก็แล้วกัน วิธีที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือ ท่าที่สามีต้องนอนกดทับหน้าท้องภรรยา เพราะอาจหายใจไม่ออกและเป็นอันตรายแก่เด็ก วิธีที่น่าจะดีกว่าคือ ให้คุณแม่อยู่ข้างบนครับ

      สรุปการมีเซ็กซ์ขณะตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่คุณแม่ที่ตั้งครรภ์และสามีสามารถ ทำได้เหมือนภาวะปกติ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวคุณแม่และลูกในครรภ์ จะมียกเว้นที่ไม่ควรมีเซ็กซ์กันก็บางกรณีที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อลูกใน ครรภ์หรือต่อตัวคุณแม่เองเท่านั้น สิ่งที่อยากจะย้ำอีกครั้งคือ ถ้า คุณแม่มีปัญหาเกี่ยวกับเซ็กซ์ขณะตั้งครรภ์ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ขออย่าได้อายที่จะสอบถามกับคุณหมอที่ดูแลเลยครับ จะได้ไม่ต้องมาเข้าใจผิดหรือวิตกกังวลในเรื่องต่างๆ โดยไม่จำเป็น ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการตั้งครรภ์และการมีเซ็กซ์ที่ถูกต้อง


ท่าร่วมเพศที่เหมาะสำหรับคนตั้งครรภ์
1.Spoon เป็นท่าที่ต้องนอนตะแคงทั้งหญิงและชายฝ่ายชายสอดใส่เข้าจากทางด้านหลัง
2.Side by side ท่านี้เป็นอีกท่าที่เหมาะกับผู้หญิงครรภ์แก่ คล้ายท่า spoon แต่หันหน้าเข้าหากัน อาจจะมีการเหยียดขาตรงทั้งสองฝ่ายหรืองอขาก็ได้ หลักการคือไม่ให้มีน้ำหนักเข้ากดทับหรือกระแทกครรภ์ของฝ่ายหญิง 3.Woman on top ท่านี้ฝ่ายหญิงสามารถควบคุมได้ที่จะไม่ให้อวัยวะของฝ่ายชายเข้าลึกจนเกินไป สามารถ ใช้ท่านี้ได้ทุกช่วงของการตั้งครรภ์และเป็นท่าที่ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะฝ่ายหญิงอยู่ด้านบนเป็นผู้ควบคุมความหนักเบาและจังหวะได้เอง 3.Woman on top ท่านี้ฝ่ายหญิงสามารถควบคุมได้ที่จะไม่ให้อวัยวะของฝ่ายชายเข้าลึกจนเกินไป สามารถ ใช้ท่านี้ได้ทุกช่วงของการตั้งครรภ์และเป็นท่าที่ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะฝ่ายหญิงอยู่ด้านบนเป็นผู้ควบคุมความหนักเบาและจังหวะได้เอง
4.Edge of the bed ท่านี้แปลเป็นไทยได้ง่ายว่า ท่าขอบเตียง ฝ่ายหญิงจะนอนหงายให้ระดับก้นอยู่ที่ขอบเตียง และขาทั้งสองแยกพอประมาณวางเท้าด้วยส้นเท้าที่พื้น ฝ่ายชายจะยืนย่อโน้มตัวเข้าทำกับฝ่ายหญิง ส่วนฝ่ายหญิงต้องคอยกำกับให้ฝ่ายชายรับรู้ถึงความนุ่มนวลในการทำด้วย ท่านี้อาจจะประยุกต์เป็นท่า Armchair Position (ท่าขอบเก้าอี้)นี่คือช่วงเวลาทีสุขสมที่สุด
ในระหว่างการตั้งครรภ์ คุณทราบหรือไม่ว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่คู่ของคุณมีอารมณ์มากกว่าปกติ เพราะมีเลือดมาหล่อเลี้ยงบริเวณอวัยวะเพศมากขึ้น มีสารหล่อลื่นที่บริเวณช่องคลอดมากขึ้น และทำให้จุดต่างๆ ตามร่างกายไวต่อการสัมผัสมากขึ้น จุดนี้เองทำให้ฝ่ายหญิงมีโอกาสไปถึงจุดสุดยอดได้เร็วและง่ายกว่าปกติ เพราะฉะนั้นปัญหาที่ผู้ชายบางคนกำลังกลัดกลุ้มใจเรื่องการหลั่งช่วงนี้ล่ะ ครับ ทำคะแนนได้เลย